แฟนๆที่ดูทั้งมวยปล้ำอาชีพและ MMA ในปัจจุบันจะรู้ว่ามีนักมวยปล้ำกลุ่มหนึ่งที่ไม่เกรงกลัวกับการต่อสู้จริงและมีใจอยากจะพิชิตชัยชนะในสังเวียนเลือดให้สมกับชายชาตินักสู้ การข้ามเขตแดน “Crossover” ระหว่างการ “ปล้ำเพื่อคนดู” กับ “สู้เพื่อตัวเอง” จึงเกิดขึ้น แน่นอนว่ามีนักมวยปล้ำ WWF/WWE ที่ตัดสินใจไปสู้จริงเจ็บจริงใน MMA กลับกันก็มีนักสู้ MMA ที่หันมาเป็นนักมวยปล้ำอาชีพใน WWE อยู่ไม่น้อย นักมวยปล้ำระดับ megastar ของ WWE อย่างเช่น Brock Lesnar และ CM Punk ทุกคนก็ต่างรู้จักและมีฐานแฟนคลับติดตามเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ยังมีนักมวยปล้ำ WWE ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่เคยผ่านการต่อสู้ MMA มาอีกหลายคนเพียงแต่ว่าคนดูอาจจะยังไม่รู้ หรือไม่ได้ติดตาม MMA ในยุคก่อนดังระเบิดเหมือนในปัจจุบัน วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักนักมวยปล้ำ WWE ที่เคย crossover ผ่านการต่อสู้มาแล้วในสังเวียน MMA มาติดตามกันได้เลยครับว่ามีใครบ้าง
Dave Bautista
1 of 11
Dave “The Animal” Bautista (สถิติชนะ 1 แพ้ 0) เป็นอดีตนักเพาะกาย และนักมวยปล้ำแชมป์ WWE 2 สมัย แชมป์โลกเฮฟวี่เวท 4 สมัย แชมป์แท็กทีม WWE 4 สมัย ผู้ชนะรอยัลรัมเบิลประจำปี 2005 และ 2014 และได้เข้าสู่หอเกียรติยศ WWE Hall of Fame ประจำปี 2020
ก่อนที่จะไปเอาดีด้านการแสดงและโด่งดังถึงขีดสุดในบท Drax the Destroyer นักฆ่าหน้าตายแต่โคตรฮาแบบลึกซึ้งในหนัง Guardians of the Galaxy นั้นเคยสู้ MMA มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2012 โดยเป็นสมาคมเล็กๆชื่อ CES MMA – Real Pain เจอกับคู่ต่อสู้ร่างท้วมนาม Vince Lucero (ชนะ 22 แพ้ 22) โดย Dave สามารถจัดการไปได้ด้วย TKO-ground and pound จาก back position ในยกที่ 1 เวลา 4:05 นาที ซึ่งก็ถือว่าทำได้โอเคเลยเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ไม่มี และอายุ ณ ขณะนั้นที่ปาเข้าไป 43 แล้ว ซึ่งหลังจากศึกนั้น Dave ก็ไม่ได้สู้ MMA อีกเลย
Alberto Del Rio
2 of 11
Alberto Del Rio (สถิติชนะ 9 แพ้ 6) อดีตแชมป์ WWE 2 สมัย แชมป์ World Heavyweight 2 สมัย แชมป์ WWE United States Champion 2 สมัย Money in the Bank ปี 2011 และแชมป์ Royal Rumble ปี 2011 นั้นมาจากตระกูลมวยปล้ำชื่อดังจากเม็กซิโก พ่อของเขาตำนานนักมวยปล้ำ Dos Caras โดย Alberto เคยปล้ำภายใต้หน้ากากเป็นที่รู้จักกันดีในนาม Dos Caras, Jr. และเคยเป็นนักสู้ MMA ตั้งแต่ก่อนเข้า WWE เสียอีก (เข้า WWE ในปี 2010) โดยเขาเดบิว MMA ในสมาคม Deep จากประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งก็ถือว่าสถิติรวม 9-6 ของเขาถือว่าโอเคเลยทีเดียว โดยล่าสุดปี 2019 เขาเพิ่งแพ้ให้กับอดีตแชมป์ UFC Light Heavyweight Champ อย่าง Tito Ortiz ด้วยท่า Rear-Naked Choke
อย่างไรก็ตามแมทช์ที่ตราตรึงและเป็นที่จดจำที่สุดคือแมทช์ที่แพ้อย่างหมดสภาพในศึก Pride-Bushido 1 ที่ถูก Mirko Cro Cop นักสู้ K-1 ชาวโครเอเชียสุดโหดเตะท่าไม้ตาย trademark ใส่กระหม่อมด้านข้างอย่างแรงลงไปนั่งทั้งยืนสลบแพ้ KO ในยกที่ 1 ด้วยเวลาเพียง 0:46 นาที
Sean O’Haire
3 of 11
Sean O’Haire (สถิติชนะ 4 แพ้ 2) อดีตเด็กปั้นของ WCW ก่อนที่ล่มสลายถูก WWF ซื้อไป โดยเขาสามารถคว้าแชมป์ tag team WCW ได้ถึง 3 ครั้ง และถูกโหวตเป็น “Rookie of the Year” โดย Wrestling Observer ในปี 2000
ทั้งนี้เขาก็ยังค่อนข้างได้รับบทโดดเด่นใน WWF โดยยังคงจับคู่กับเพื่อนของเขาตั้งแต่ WCW คือ Chuck Palumbo ต่อมา Sean ประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซด์คว่ำและต้องหายไปจากจอทีวีไปหลายเดือนซึ่งพอเขาหายดี WWF ก็เสนอให้เขากลับไปฝึกกับ OVW สมาคมเล็กที่ไว้สำหรับปั้นนักมวยปล้ำหน้าใหม่ และท้ายสุดซึ่ง Sean ก็ตัดสินใจโบกมือลา WWF ในปี 2004
Sean ได้มีโอกาสสู้สังเวียน K-1 แต่เป็นการแพ้รวด 0-4 และสู้ MMA ให้กับหลายสมาคมโดยมีสถิติรวม 4-2
ปี 2014 เขาถูกพบเสียชีวิตที่เตียงนอนโดยพ่อของเขาเป็นผู้พบที่บ้านตัวเอง โดยเขาเสียชีวิตตั้งแต่คืนก่อนแล้ว สาเหตุหลักคาดว่ามาจากการฆ่าตัวตายจากการเป็นโรคซึมเศร้าและโรคติดสุราเรื้อรัง อายุเขาในวันนั้นคือ 43 ปี
Giant Silva
4 of 11
PAULO CESAR SILVA หรือ Giant Silva (สถิติชนะ 2 แพ้ 6) อดีตนักบาสเก็ตบอลทีมชาติบราซิล ผันตัวมาเป็นนักมวยปล้ำอาชีพและนักสู้ MMA กับส่วนสูง 2.21 เมตร น้ำหนัก 180 kg. ถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดร่างยักษ์ติดอันดับคนหนึ่งในวงการเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าไม่ประสบความสำเร็จกับ WWF เลยแม้แต่นิดเดียว เขาได้สัญญาแค่ 1 ปีในช่วง 1998-1999 มีบทบาทให้จดจำเพียงในศึก Summer Slam 1988 ด้วยการปล้ำ tag team ชนะทีม Kai En Tai แบบ 3 vs 4 คน
ช่วงปี 2001-2008 เขาสร้างชื่อเสียงจากการเป็นนักมวยปล้ำสมาคม New Japan Pro Wrestling และ Hustle ในขณะเดียวกันก็ crossover สู้ MMA ใน PRIDE FC และ K-1 สถิติรวมชนะ 2 แพ้ 6 โดยเหตุผลหลักๆที่เขาได้สู้ใน MMA อาจเป็นเพียงเพราะเขามีชื่อในการเป็นนักมวยปล้ำอาชีพและตัวใหญ่มากซึ่งสามารถนำมาจับเจอคู่ต่อสู้ที่ตัวเล็กกว่า จัดเป็นแมทช์ประเภท “Freak Show” แนวแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์
แมทช์ที่น่าจดจำคือ vs Ikuhisa Minowa จากญี่ปุ่น
Bam Bam Bigelow
5 of 11
Bam Bam Bigelow (สถิติชนะ 0 แพ้ 1) กับจุดเด่นเสื้อลายไฟและรอยสักรอบหัวลายไฟแสนดุดันเป็นนักมวยปล้ำมากประสบการณ์กว่า 20 ปีตั้งแต่ปี 1986 – 2006 โดยจุดเด่นของเขาคือนักมวยปล้ำร่างยักษ์ที่สามารถขยับและใช้ท่าเหินหาวได้อย่างว่องไว ซึ่ง Bret “Hitman” Hart เคยกล่าวชมเขาว่าเป็น “เป็นนักมวยปล้ำร่างยักษ์ที่ดีที่สุดในวงการมวยปล้ำ”
Bam Bam ปล้ำสมาคมยักษ์ใหญ่ในโลกมาหมดแล้วตั้งแต่ New Japan Pro-Wrestling (NJPW), the World Wrestling Federation (WWF), World Championship Wrestling (WCW) และ Extreme Championship Wrestling (ECW) คว้าแชมป์ตั้งแต่ ECW World Heavyweight Championship, the ECW World Television Championship, IWGP Tag Team Championship (แท็กทีมคู่กับ Big Van Vader) และ WCW World Tag Team Championship เขาได้ปล้ำในคู่หลักรวม 7 pay-per-views ได้แก่ Survivor Series 1987, Beach Brawl 1991, King of the Ring 1993 และ 1995, WrestleMania XI ปี 1995 และ 1997 รวมถึง 1998 ECW’s premier annual event ศึก “November to Remember” ทั้งนี้ Bam Bam ควรจะได้ถูกดันให้เป็นซักแชมป์ใน WWF แต่ติดตรงที่ว่าเขาไม่กินเส้นกับกลุ่ม Kliq นำโดย Shawn Michaels ทำให้เกมส์การเมืองนี้ส่งผลต่ออนาคตเขาใน WWF และต้องตัดสินใจลาออกในที่สุด
พี่อ้วนจอมลีลาได้มีโอกาสสู้ MMA เพียงครั้งเดียวโดยแพ้ด้วยท่า rear-naked choke ให้กับ Kimo Leopoldo ที่สร้างชื่อจากการเป็นคนสู้กับ Royce Gracie ที่ถึงแม้ว่าเขาจะแพ้แต่ทำให้ Royce หมดสภาพไม่สามารถสู้ต่อใน tournament รอบต่อไปได้ในศึก UFC 3
ปี 2007 เขาเสียชีวิตในวัย 45 จากการใช้ยาเสพติดเกินขนาด
Bart Gunn
6 of 11
MIKE POLCHLOPEK (สถิติชนะ 1 แพ้ 1) หรือที่รู้จักกันใน WWF นาม Bart Gunn ในช่วง 1993-1999 โด่งดังจากการเป็นแชมป์ Tag Team 3 สมัยในนาม “The Smoking Guns” คู่กับ Billy Gunn (หรือ Mr.Ass)
แต่ที่ทำให้เขาโด่งดังยิ่งขึ้นไปอีกเป็นที่จดจำและเป็นช่วงพาไปจุดต่ำสุดในเวลาเดียวกันคือ WWF ศึก “WWF Brawl for All” ที่ตอนนั้น Vince Russo เป็นคนคิดไอเดียศึกนี้ขึ้นมาและเป็นศึกเดียวที่เป็น “Shootfighting” หรือสู้กันจริง โดยเป็นทัวนาเมนท์ 16 นักมวยปล้ำมาต่อยมวยสากลกันจริง ต่อยกัน 3 ยกๆละ 1 นาทีโดยตัดสินกันแบบ KO หรือชนะคะแนน ซึ่ง Bart Gunn เป็นแชมป์ทัวนาเมนท์นนี้ เขาชนะคะแนน Bob Holly ในไฟท์แรก และชนะน็อคเอาท์นักมวยปล้ำ 3 คนรวดได้แก่ Steve Williams (ซึ่งตอนนั้น Dr. Death เป็นนักมวยปล้ำเพิ่งมาเดบิวใน WWF และถูกกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุด โดยหลังจากแพ้ KO อาชีพมวยปล้ำเขาใน WWF ก็ดับทันที) KO Godfather และ Bradshaw คว้าแชมป์ได้ในที่สุด
Bart Gunn ที่อนาคตกำลังจะสดใสได้สิทธิ์ไปสู้ใน Wrestlemania XV เจอกันนักมวยปล้ำแชมป์ Super heavyweight ตัวจริงอย่าง Eric “Butterbean” Esch และ Bart โดนต่อยน็อคอย่างโหดร้ายในเวลาเพียง 35 วินาที และโดน WWF เด้งในที่สุด
ต่อมาเขาไปปล้ำที่ NJPW, TNA , Muga Pro Wrestling และสู้ MMA ชนะ 1 แพ้ 1
Ron “H2O” Waterman
7 of 11
Ron “H2O” Waterman (สถิติชนะ 16 แพ้ 6 เสมอ 2) เป็นนักมวยปล้ำ WWF ที่มีประสบการณ์ในวงการมวยปล้ำแตกต่างกับนักมวยปล้ำ WWF ไปสู้ MMA อย่างสิ้นเชิง เขาเริ่มต้นเป็นนักมวยปล้ำฝึกหัดที่ OVW จนได้กลายเป็นนักมวยปล้ำ WWF เพียงแต่เขาล้มเหลวในวงการมวยปล้ำอาชีพ เขาไม่เคยได้สู้ออกทีวีเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาได้สู้แค่ตาม house show (ปกติสมาคมมวยปล้ำในอเมริกาจะตระเวนจัดโชว์ตามที่ต่างๆไปทั่วอเมริกาซึ่งบางโชว์จะได้ออกทีวีเช่น RAW หรือ Smackdown ในขณะที่บางโชว์ปล้ำแบบไม่มีถ่ายทอดสด ซึ่งเคส Ron คืออย่างหลัง) และได้ปล้ำแค่ dark matches เท่านั้น ซึ่งโชว์ได้ออกอากาศ แต่เขาปล้ำแมทช์แรกๆช่วงรอให้คนทยอยเดินเข้ามาชมซึ่งยังไม่มีการถ่ายทอดสด (admin มีโอกาสได้ชม house show อยู่ครั้งหนึ่งที่เมือง Seattle, Washington ซึ่งเคยชม Ron Waterman ปล้ำด้วย แต่ขณะนั้นไม่รู้จักว่าคือใคร)
ในขณะเดียวกันประสบการณ์และสถิติ MMA เขาถือว่ายอดเยี่ยมมากกับทั้งหมด 24 ไฟทที่เขา crossover ไป MMA เขาเคยสู้ทั้ง UFC, PRIDE FC, WEC และสมาคมต่างๆ เคยเป็นถึงแชมป์คนแรกสมาคม WEC คว้าเข็มขัด WEC Super Heavyweight Champion และเป็นแชมป์ X-1 Heavyweight Championship
โดยนักสู้ชื่อดังที่เขาได้จัดการมาแล้วได้แก่ Valentijn Overeem พี่ชาย Alistair Overeem ด้วยท่า Americana (American Arm lock), Kevin Randleman อดีตแชมป์ UFC, Ricco Rodriguez อดีตแชมป์ HW UFC
ไฟท์ที่แนะนำให้ดูคือ Ron Waterman vs Mirko Cro Cop ศึก PRIDE FC 27 เพราะถึงแม้ว่าเขาจะแพ้ KO (โดน soccerkick ใส่หัวขณะอยู่บนพื้น) แต่ Cro Cop ถึงขนาดออกมาให้สัมภาษณ์ว่า Ron เป็นนักสู้ที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาเลยทีเดียว
Jack Swagger
8 of 11
Donald Jacob “Jake” Hager Jr. หรือ Jack Swagger (สถิติชนะ 2 แพ้ 0) อดีตนักมวยปล้ำสมัครเล่นติด All-American นักมวยปล้ำที่สามารถกดชนะได้เยอะที่สุด 30 ครั้งในปี 2006 เซ็นสัญญากับ WWE โดยได้ถือเข็มขัดแชมป์ world champion 2 ครั้ง, แชมป์ WWE World Heavyweight Championship และ ECW Championship อย่างละครั้ง โดยหลังจากออกจาก WWE ในปี 2017 และไปเป็นนักสู้ให้กับสมาคม Bellator ชนะ 2 ไฟทติด ปัจจุบันเขาเป็นนักมวยปล้ำ full-time กับสมาคม AEW
Bobby Lashley
9 of 11
Bobby “The Dominator” Lashley (สถิติชนะ 16 แพ้ 2) นักมวยปล้ำจอมพลังโดดเด่นในวงการมวยปล้ำในหลายสมาคม เขาได้แชมป์รวมทั้งหมด 11 แชมป์จาก WWE, ECW และ TNA
ปี 2007 เขาเคยได้กระทบไหล่และถูกเลือกโดย Donald Trump ให้เป็นนักมวยปล้ำเจอกับ Umaga เลือกโดย Vince McMahon ศึก Wrestlemania 23 “โกนผม vs โกนผม” ซึ่ง Bobby เอาชนะไปได้และ Vince ก็โดนโกนหัวไปตามระเบียบ
ช่วงปี 2008 -2016 เขาเลือกที่จะไปสู้ MMA สู้ให้กับสมาคม Strikeforce, Bellator และอื่นๆ สถิติปัจจุบันสวยหรู 16-2 ปะมือกับนักสู้ดังๆได้แก่ Jason Guida, Bob Sapp, Wes Sims, James Thompson
CM Punk
10 of 11
Phillip Jack Brooks หรือ CM Punk (สถิติชนะ 0 แพ้ 2) มีประสบการณ์ 15 ปี กับ WWE (2005-2015) ซึ่งเขาประสบความสำเร็จอย่างมากด้วยการเป็นแชมป์ WWE Championship 2 ครั้ง, World Heavyweight Championship 3 ครั้ง, ECW และ ROH World Championships อย่างละครั้ง, World Tag Team Championship (กับ Kofi Kingston) และแชมป์ Intercontinental Championship ซึ่งเขาได้กลายเป็นแชมป์ Triple Crown คนที่ 19 ของสมาคม WWE และเป็นแชมป์ที่ใช้เวลาน้อยที่สุดเพียง 203 วันเท่านั้น
ปี 2011 CM Punk ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดนั่นคือการ “Pipebomb” การถือไมค์แล้วนั่งด่า WWE ในขณะที่ถ่ายทอดสด บอกว่านักมวยปล้ำหลายๆคนถูกดันเพราะเป็นเด็กเส้น Vince McMahon โดยเฉพาะ John Cena, Hulk Hogan, The Rock จึงทำให้คนที่มีความสามารถจริงๆไม่ได้เกิด และมีการพูดถึงสมาคมคู่แข่งอย่าง ROH และ NJPW ซึ่งปกตินักมวยปล้ำไม่ถูกอนุญาติให้พูดอยู่แล้ว (ภายหลังมารู้ว่าเป็น promo ที่เขียน scripts ไว้แล้ว ถึงแม้จะดูสมจริงมากก็ตาม) อย่างไรก็ตามปี 2014 เขาก็มีปัญหากับ WWE จริงๆ และออกจากสมาคมไปนับตั้งแต่นั้นมา
ด้วยชื่อเสียงของ CM Punk จาก WWE และเขาได้ประกาศว่าเขาสนใจที่จะสู้ MMA เรื่องนี้ไปเข้าหู Dana White จาก UFC และมีการ shortcut ให้ CM Punk มา crossover สู้ใน UFC ทันทีทั้งๆที่เขาไม่มีประสบการณ์การต่อสู้จริงมาก่อน ถึงแม้ว่าเขาจะได้โค้ชฝีมือดีอย่าง Duke Roufus และเขาก็ยังเป็น blue belt Brazilian Jiu-Jitsu ก็ตาม แต่ด้วยระยะเวลาเทรนนิ่งที่จำกัดและการเริ่มต้นอาชีพ MMA ที่ช้าจนเกินไป ทำให้ Punk พ่ายแพ้แก่คู่ต่อสู้แบบสู้ไม่ได้เลยทั้ง 2 ไฟท และมีแฟนๆหลายคนรวมถึงผู้ประกาศอย่าง Joe Rogan บอกว่ามันเป็นอะไรที่น่าสมเพชเป็นอย่างมากสำหรับสมาคมที่เต็มไปด้วยนักสู้คุณภาพอย่าง UFC
Brock Lesnar
11 of 11
และแน่นอนคนสุดท้ายใน list ทั้งหมดซึ่งถือว่าเก่งที่สุด ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการ crossover ไปสู้ใน MMA ก็คือ Brock Lesnar (สถิติชนะ 5 แพ้ 3 เสมอ 1) อดีตแชมป์มวยปล้ำสมัครเล่น NJCAA All-American 2 สมัย, 1998 NJCAA Heavyweight Champion, Big Ten Conference Champion 2 สมัย และเป็นแชมป์ 2000 NCAA Heavyweight Champion, สถิติ 4 ปีช่วงมหาวิทยาลัย คือชนะ 106 แพ้ 5 ครั้งเท่านั้น
Lesnar เป็นแชมป์ WWE ในวัยเพียง 25 ปี ซึ่งเป็นแชมป์ที่อายุน้อยที่สุดในสมาคม หลังจากอยู่กับ WWE ได้เพียง 2 ปี (2002-2004) เขาก็ออกไปเล่นอเมริกันฟุตบอลและกลับไปปล้ำมวยปล้ำให้กับ NJPW
ปี 2007-2011 เขาตัดสินใจเข้าสู่วงการ MMA และก้าวสู่จุดสูงสุดด้วยการเป็นถึงแชมป์ UFC รุ่น Heavyweight สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้สุดเก่งมากมายตั้งแต่ Frank Mir, Heath Herring, Randy Couture และ Shane Carwin เขาเสียแชมป์ให้กับ Cain Velasquez ในปี 2010 และตัดสินใจกลับเข้าสู่ WWE หลังจากแพ้ TKO ให้กับ Alistair Overeem ในปี 2011
โดยทุกไฟทที่เขาสู้เขาได้รับค่าตัวสูงมากเมื่อเทียบกับนักสู้คนอื่นๆ ซึ่งรายได้ทั้งหมดจาก UFC ที่ Brock ได้รับอยู่ที่ราว 5 ล้านเหรียญ หรือ 150 ล้านบาท ในขณะที่ยอด PPV ที่คนยอมจ่ายเพื่อมาดูเขาชนะหรือมาดูเขาโดนอัดก็สูงติดเป็นประวัติศาสตร์ TOP PPV ของ UFC อีกด้วย
ปัจจุบัน Brock ยังคงวนเวียนใน WWE กับอภิสิทธิ์เหนือนักมวยปล้ำคนอื่นด้วยการได้ค่าตัวมหาศาลในขณะที่ปล้ำน้อยมากตามใจเฮียเขาเลย