ในวัย 50 ปี กับตำแหน่งแชมป์โลก 14 สมัย รวมถึงได้เข้าหอเกียรติยศ (Hall of Fame) ของ WWE ไม่มีแฟนคนไหนที่ไม่รู้จักชื่อของ ‘The Game’ Triple H ผู้ซึ่งมีบทบาททั้งในฐานะนักมวยปล้ำและผู้บริหารจนอาจกล่าวได้ว่าเขาคือหนึ่งในผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกมวยปล้ำไปแล้ว
เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร ?
Triple H เล่าว่าสิ่งที่ช่วยผลักดันเขามากที่สุดก็คือ ‘ความมั่นใจ’ และมันต้องไม่ใช่การมั่นใจโดย ‘คิดไปเอง’ กลับกันมันต้องเป็นความมั่นใจที่เกิดจากการพัฒนาศักยภาพจนสามารถทำสิ่งที่พูดออกไปได้จริงๆ
ทัศนคตินี้ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ในวัยเด็ก เขาเป็นคนที่ไม่มั่นใจตัวเองเท่าไรนัก และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กแบบเขาจะพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ทางใดก็ทางหนึ่งโดนเริ่มจากการเล่นเบสบอลและบาสเกตบอล ก่อนที่จะมาลงเอยที่กีฬาเพาะกายเพราะอยากเป็นเหมือนนักมวยปล้ำร่างยักษ์ที่เคยเห็นบนหน้าจอโทรทัศน์ โดยการเพาะกายนี้เองที่ทำให้ความมั่นใจก่อตัวในจิตวิญญาณของเขามากขึ้น เขาดีใจที่ได้เห็นร่างกายเปลี่ยนแปลง และมันผลักดันเขาจนคว้ารางวัล Mr. Teenage New Hampshire ประจำปี 1988 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของชีวิต
ชัยชนะดังกล่าวทำให้เขาก้าวมาเป็นผู้ดูแลโรงยิมแห่งหนึ่งที่มีนักยกน้ำหนักดีกรีระดับโลกอย่าง Ted Arcidi ฝึกซ้อมอยู่ และชายผู้นี้เองที่แนะนำให้เขารู้จักกับ Killer Kowalski นักมวยปล้ำชื่อดังในขณะนั้นซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียนและสมาคมมวยปล้ำ เขาจึงได้เริ่มฝึกมวยปล้ำจริงจังนับจากนั้น
Triple H เริ่มเป็นนักมวยปล้ำโดยมีไอดอลเป็น Ric Flair และกลุ่ม The Four Horsemen ซึ่งโชคดีที่โรงยิมที่เขาทำงานอยู่มีธุรกิจร่วมกับ WCW อยู่พอดี และทางโรงยิมต้องการส่ง Triple H ซึ่งเป็นทีมงานของยิมในขณะนั้นไปร่วมงานด้วย แน่นอนว่าเขาไม่ยอมพลาดโอกาสนี้แน่ๆ จึงเตรียมตัวทุกอย่างให้พร้อมที่สุด โดยหวังว่าจะมีโอกาสยื่นพอร์ทให้กับริค แฟลร์ เพื่อโอกาสในการร่วมงานกับสมาคมมวยปล้ำระดับโลกดูสักครั้ง
เราขอเจาะประเด็นตรงนี้สักนิด วิธีการที่เขาทำคือการพกเอกสารแนะนำตัวและวีดีโอรวบรวมการปล้ำของตัวเองเอาไว้เสมอ ซึ่งถือเป็นข้อแตกต่างที่นักมวยปล้ำสมัยก่อนไม่มี แน่นอนเขารู้ตัวว่ามันดูแปลกและอาจเสียมารยาทมากแน่ๆที่จะได้เผชิญหน้ากับตำนานซุปเปอร์สตาร์อย่างริค แฟลร์ และเสนอตัวเองไปแบบนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจตัวเองมากพอว่าเขามีฝีมือ และหากเขาได้รับโอกาสขึ้นมา เขาจะทำได้ดีจนทุกคนมองข้ามความเสียมารยาทในเบื้องต้นไปได้
ความพยายามของเขาเป็นผล เพราะเมื่อเขาได้มอบเอกสารทั้งหมดให้แฟลร์ เขาก็ไปสะดุดตาทีมงานของ WCW ทันที โดยมีจุดที่น่าประทับใจคือโดยปกติสมาคมมักทำได้แค่ให้นามบัตร, แลกเบอร์ และให้นักมวยปล้ำกลับไปเตรียมข้อมูลแนะนำตัวมาเพื่อส่งให้ทีมงานพิจารณาในภายหลัง แต่ทุกคนก็ต้องประหลาดใจเมื่อเขามีเอกสารเหล่านี้พร้อมในมืออยู่แล้ว ดังนั้นการประสานงานจึงรวดเร็วขึ้น วีดีโอทั้งหมดถูกส่งให้ทีมบริหารของ WCW นำโดย Eric Bischoff และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวสู่ระดับโลก
เขาได้รับโอกาสขึ้นปล้ำในแมตช์คัดตัว (Try Out) ของ WCW
ต้นปี 1994 ก่อนที่โลกมวยปล้ำจะลุกเป็นไฟกับปรากฏการณ์ Monday Night War ทั้ง WCW และ WWF กำลังอยู่ในช่วง ‘เตรียมตัว’ ครั้งสุดท้ายก่อนที่สงครามจะปะทุขึ้น
Triple H ซึ่งขณะนั้นขึ้นปล้ำในชื่อ Terror Risin’ ขึ้นปล้ำแมตช์แรกกับ Keith Cole ในศึก WCW Saturday Night โดยรับบทเป็นอธรรมที่พูดกันตามตรงว่าได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากคาแรกเตอร์ของ ‘Nature Boy’ Ric Flair ไอดอลของเขา อย่างไรก็ตามหากตัดเรื่องภาพลักษณ์ออกไปจะเห็นว่าเขาทำผลงานได้ดีมากจน Steven (William) Regal ซึ่งขึ้นปล้ำได้คืนนั้นเช่นกันต้องเอ่ยปากว่าอีกไม่นานเขาจะกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ของวงการได้แน่นอน
แมตช์จบลงด้วยชัยชนะของเขาในเวลาประมาณ 5 นาที และหลังจากที่เดินกลับเข้ามาหลังฉาก ชายคนแรกที่เดินมาหาเขาก็คือ ‘The Enforcer’ Arn Anderson ที่เข้ามาบอกว่าแมตช์ที่ผ่านมาออกมาดีมาก และเขาน่าจะผ่านการคัดตัวแบบไม่มีปัญหา
เกร็ดเล็กน้อยก็คือจริงๆสมาคมตั้งใจให้เขาขึ้นปล้ำนานกว่านั้น แต่เขาบอกว่าต้องการเวลาเพียง 5 นาทีเพื่อพิสูจน์ตัวเอง หากเขาทำได้ดี มันก็การันตีถึงศักยภาพ แต่หากเขาทำได้ไม่ดี สิ่งที่สมาคมสูญเสียก็มีแค่เวลาออกอากาศเพียง 5 นาทีเท่านั้น
และสิ่งที่ Arn Anderson คาดการณ์ไว้ถูกต้อง เพราะ Eric Bischoff ติดต่อเขากลับมา และยื่นข้อเสนอเป็นสัญญา 2 ปี มูลค่า 52,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งถือเป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลยสำหรับนักมวยปล้ำหน้าใหม่แบบเขา แต่เขากลับปฏิเสธและบอกว่าเขาขอสัญญา 1 ปีเท่านั้น
‘นายว่าไงนะ ? สมาคมที่ดีที่สุดในโลกยื่นข้อเสนอการันตีรายได้ให้นาย 2 ปี แต่นายกลับขอลดเหลือแค่ปีเดียว’ เอริค บิสชอฟฟ์ถามกลับด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนกล้าปฏิเสธโอกาสดีๆแบบนี้
‘เพราะฉันมีค่ามากกว่าเงิน 52,000 ดอลลาร์น่ะสิ’ เขาตอบ ‘ลองจับตาดูฉันไว้ก็แล้วกัน ในระยะเวลาสัญญาหนึ่งปีนี้ฉันจะทำให้ทุกคนเห็นว่าฉันมีค่ามากกว่านั้น และสัญญาในปีที่สองก็จะต้องมีมูลค่ามากกว่าเดิม’… นี่คือสิ่งที่เขาบอกกับทีมงานของ WCW จนท้ายที่สุดเขาก็ได้รับสัญญาฉบับใหม่ที่มีมูลค่ามากกว่าเดิมจริงๆ นอกจากนี้หลังจากที่สามารถพิสูจน์ตัวเองให้หลายๆคนเห็น เขาก็มีสิทธิ์เลือกทางเดินในชีวิตมากขึ้น นั่นทำให้ในขณะที่ WCW ใช้งานเขาไม่เป็น (แม้จะเห็นถึงศักยภาพก็ตาม) เขาก็ตัดสินใจย้ายไปที่ WWF ในปี 1995 ตามคำชักชวนของ Vince McMahon
อนาคตหลังจากนั้นเป็นอย่างไร แฟนมวยปล้ำทุกคนต่างรู้คำตอบกันดีอยู่แล้ว
‘I AM THAT DAMN GOOD’ คือสโลแกนประจำตัวของ Triple H ในช่วงต้นปี 2000… ปัจจุบันเขาสร้างรายได้ให้ตนเองได้มากกว่า 3.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และสามารถเอาดีในกีฬาที่เขารักได้อย่างที่คาดหวังตั้งแต่เด็ก
เขาได้กลับมาช่วยผลักดันชีวิตของไอดอลในดวงใจอย่างริค แฟลร์ จน ‘เนเจอร์ บอย’ เรียกเขาว่ามหามิตร นอกจากนี้เขายังตกผลึกเอาสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ รวมถึงสิ่งที่ตัวเอง ‘เคยขาด’ ในฐานะนักมวยปล้ำมาเป็นแนวคิดในการสร้างศูนย์พัฒนาทักษะ (Performance Center) ซึ่งถือว่ามีคุณภาพไม่แพ้ศูนย์ฝึกใดในโลก อีกทั้งยังสร้างค่ายพัฒนาทักษะอย่าง NXT จนได้รับการยอมรับ ตลอดจนช่วยคัดเลือกนักมวยปล้ำจากทั่วโลกที่มุ่งคัดตัวกับ WWE โดยวิสัยทัศน์ของ Triple H ได้ชื่อว่าจะกลายเป็นสิ่งที่ช่วยผลักดัน WWE ให้อยู่รอดปลอดภัยในอนาคต
ความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณต้องสร้างความมั่นใจนั้นขึ้นมาเอง ความมั่นใจจะไร้ค่าทันทีหากมันเป็นการหลอกตัวเองและแท้จริงยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบนั้น เหตุนี้การเรียนรู้อย่างเปิดใจและตั้งใจจึงทำให้เราเหนือกว่าคนอื่นได้ไม่ยาก
Triple H พิสูจน์ให้เราเห็นแล้ว จากชายที่ถูกค่อนขอดว่าได้ดีเพราะภรรยา จนกลายเป็นสุดยอดนักมวยปล้ำและนักบริหารที่ทุกคนให้ความเคารพ