‘Sports Business Journal รายงานออกมาในปี 2015 ว่านักมวยปล้ำของ NXT มีรายได้เฉลี่ย 80,000 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ Main Roster มีรายได้เฉลี่ยถึงปีละ 500,000 ดอลลาร์ ดังนั้นโบนัสจาก WrestleMania จะช่วยเรื่องสภาพคล่องทางการเงินของนักมวยปล้ำระดับรองได้มากกว่าที่หลายคนคิด’
นี่คือแง่มุมหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนซึ่งเป็นคนวงในของ WWE โดยประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงนักจากกรณี WrestleMania ลดสเกลไปจัดที่ WWE Performance Center เพื่อความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เพราะแท้จริงแล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ทีมงานระดับล่างสุด เรื่อยไปจนถึงแฟนๆที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลก
ก่อนที่จะไปถึงประเด็นอื่น เรามาชี้แจ้งกันก่อนว่าสถานะทางการเงินของสตาร์ NXT และสัญญาพัฒนาทักษะอื่นๆเป็นอย่างไร
รายได้ของนักมวยปล้ำ NXT ถูกจ่ายเป็นรายเดือน โดยเป็นรายได้รวมกับส่วนแบ่งสินค้า (ถ้ามี) ซึ่งส่วนแบ่งรายได้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องพูดถึงมากนัก เนื่องจากยอดขายของนักมวยปล้ำระดับล่างคงไม่ช่วยให้สถานะทางการเงินดีขี้นมากนัก แน่นอนเรามีคนอย่าง Finn Balor , Tommasso Ciampa , Johnny Gargano ที่มีสัญญามูลค่าสูงกว่าคนอื่น แต่นั่นคือสิทธิ์พิเศษหากเทียบกับนักมวยปล้ำ NXT คนอื่นที่ต้องยอมรับว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นปรับตัว ดังนั้นจึงเป็นดั่งที่นักวิเคราะห์พูดกันว่าเราจะยก NXT เป็นแบรนด์หลักง่ายๆไม่ได้ ตราบใดที่นักมวยปล้ำยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่ากับนักมวยปล้ำของ Raw หรือ SmackDown !
รายได้ 80,000 ดอลลาร์ต่อปี เป็น ‘รายได้เฉลี่ย’ โดยจากรายงานนักมวยปล้ำสัญญาพัฒนาทักษะ (Development Contract) สัญญาที่มูลค่าต่ำสุดอยู่ที่ปีละ 50,000 ดอลลาร์ (ราว 1,500,000 บาท) ซึ่งแม้จะดูเหมือนเป็นจำนวนที่เยอะ แต่เงินดังกล่าวจะถูกหักและนำไปใช้ในทุกบริบทของชีวิต ทั้งค่าเช่าบ้าน , ค่าน้ำมัน (นักมวยปล้ำทุกคนต้องขับรถไปสถานที่ปล้ำเอง) , ค่าอาหาร ฯลฯ ดังนั้นมันจึงไม่ง่ายเลยกับการใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาด้วยข้อจำกัดเหล่านี้
แน่นอนว่ามีนักมวยปล้ำที่ใช้ชีวิตกับสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะพูดกันตามตรงก็คือแม้ WWE จะดำเนินธุรกิจโดยการ ‘มอบความฝัน’ ที่นักมวยปล้ำแทบทุกคนต้องการ แต่หากเรายอมรับความลำบากในช่วงแรกได้ โอกาสที่จะร่ำรวยเป็นเศรษฐีก็สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตแน่นอน ซึ่งหากเราลองมองวงการมวยปล้ำอิสระในอดีต แม้แต่คนอย่าง Kevin Owens , Seth Rollins , Daniel Bryan ฯลฯ ก็ล้วนผ่านการขึ้นปล้ำต่อหน้าคนหลักสิบและรับเงินไม่กี่ดอลลาร์มาแล้วทั้งนั้น เหตุนี้สำหรับพวกเขาเส้นทางของ WWE จึงคุ้มค่ากว่าการอยู่ในสมาคมอิสระอยู่ดี ทว่าการทำธุรกิจโดยกดราคาไว้ก่อนก็ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องอยู่ดี แต่มันก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าในเชิงธุรกิจนั้นรากฐานของ WWE ถูกวางไว้แน่นมากแล้ว เรามั่นใจว่ามีเด็กที่เกิดมาและฝันจะเป็นแชมป์โลก WWE มากกว่าสมาคมอื่น มันคงเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันไปตามกาลเวลา
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ หากมันพอมีความหวังอยู่บ้าง การอดทนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าเป็นสิ่งที่ใครๆก็ทนได้ อย่างไรก็ตามมีนักมวยปล้ำที่ถูกเอาความฝันมาล่อ และเซ็นสัญญาขั้นต่ำเข้ามาด้วยเหตุผลทางธุรกิจเท่านั้น หากเป็นกรณีนี้พวกเขาจะไม่มีวันเติบโตได้เลย แถมบางคนอาจมีรายได้ในประเทศบ้านเกิดมากกว่าการทำงานกับ WWE ด้วยซ้ำ ดังนั้นเราพูดได้ว่าเม็ดเงินของ WWE ไม่ใช่สิ่งที่จะเลี้ยงดูคุณได้แบบเบ็ดเสร็จ มีนักมวยปล้ำอีกมากมายที่ต้องเอาตัวรอดให้ได้จากการเซ็นสัญญาตามความฝันดังกล่าว
ดังนั้นนักมวยปล้ำระดับล่างจะเฝ้ารอวันที่ถูกเรียกตัวไปช่วยงานจิปาถะในค่ายหลัก บางทีอาจเป็นการนั่งเฉยๆ เพื่อช่วยแปลภาษาหากลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การใช้แรงงาน , การยืนประกอบฉาก หรือเป็นเอ็กซ์ตราให้นักมวยปล้ำตัวหลักเล่นงาน เป็นต้น โดยการร่วมงานกับค่ายหลักหนึ่งครั้งอาจทำรายได้ให้คุณมากกว่ารายได้จาก NXT หลายเดือนด้วยซ้ำ
ดังนั้น WrestleMania คือรางวัลของนักมวยปล้ำระดับล่าง พวกเขามีงาน Axxess , มีงานแจกลายเซ็นที่อาจมีแฟนๆจากบ้านเกิดเดินทางมาให้กำลังใจ , พวกเขาสามารถขี้นปล้ำในค่ายอิสระที่เป็นพันธมิตรกับ WWE , มีโครงการ Make A Wish บางอย่างทีไม่ได้ออกอากาศ … นักมวยปล้ำบางคนสร้างงานให้ตนเองได้เกือบสิบงานในช่วงเวลาเพียงสามวัน และทำรายได้มหาศาล พวกเขาต้องการเงินเพื่อใช้ชีวิตให้สบาย และบางคนต้องใช้หนี้จากการควักเงินตัวเองมาล่าฝันในอดีต ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตไปวันๆ และภูมิใจกับความฝันอันไร้หวังตลอดไปได้ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ต้องเลือกชีวิตมากกว่าความฝันอยู่ดี
COVID-19 ได้ทำให้โปรโมเตอร์สมาคมอิสระหลายคนต้องขายบ้านขายรถ , ทำให้ความหวังของนักมวยปล้ำหลายๆคนดับสิ้นตามกันไป ดังนั้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ สมาคมทั้งหลายไม่ได้แค่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคทางการเงิน แต่เป็นการต่อสู้กับจิตใจและต้องช่วยฟื้นฟูมันไปพร้อมๆกัน ดังนั้นการที่สมาคมยังคงตั้งใจจัด WrestleMania ตามกำหนดเดิม ก็อาจทำให้นักมวยปล้ำหลายคนได้รับโบนัสบางส่วนไปบ้าง แม้จะได้มากมายอย่างในสถานการณ์ปกติ ซึ่งเรามั่นใจว่าเรื่องเงินโบนัสมันเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่งที่เล็กมากๆในการตัดสินใจครั้งนี้ เราจึงอยากให้ทุกคนสนุกกับมวยปล้ำเท่าที่เรายังคงทำได้ เราเห็นมาตลอดว่าหากทุกอย่างปกติ เราสามารถคาดหวังถึงความยิ่งใหญ่ได้แค่ไหน
พวกเขาไม่ได้หักหลังคนดูเลย พวกเขาทำได้แค่นั้น ทุกคนทำงานกันหนักมากจริงๆ และเราเชื่อว่าพวกเขาต้องการกำลังใจ
‘Wrestling is for Everyone’ ต้องไม่เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรูอย่างเดียว เราต้องทำให้คนเห็นว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว แฟนๆก็สามารถปลอบประโลมและให้กำลังใจทีมงานกลับไปได้เช่นกัน
เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เรามั่นใจว่าจะคุ้มค่ากับการรอแน่นอน