เส้นทางที่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดของเหล่านักมวยปล้ำ NXT


‘Sports Business Journal รายงานออกมาในปี 2015 ว่านักมวยปล้ำของ NXT มีรายได้เฉลี่ย 80,000 ดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่ Main Roster มีรายได้เฉลี่ยถึงปีละ 500,000 ดอลลาร์ ดังนั้นโบนัสจาก WrestleMania จะช่วยเรื่องสภาพคล่องทางการเงินของนักมวยปล้ำระดับรองได้มากกว่าที่หลายคนคิด’

นี่คือแง่มุมหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนซึ่งเป็นคนวงในของ WWE โดยประเด็นนี้ถือเป็นประเด็นที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงนักจากกรณี WrestleMania ลดสเกลไปจัดที่ WWE Performance Center เพื่อความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เพราะแท้จริงแล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ทีมงานระดับล่างสุด เรื่อยไปจนถึงแฟนๆที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลก

ช่วงเดือนมี.ค. 2020 ที่ COVID-19 ระบาดอย่างหนักไปทั่วโลก WWE ได้ตัดสินใจที่จะยกเลิก shows ในหลายๆที่ รวมถึงการจัดให้ศึก RAW, Smackdown มาจัดที่ Performance Center แทน โดย RAW Episode ล่าสุดของ week 3/2020 จะเห็นถึงบรรยากาศไร้ซึ่งผู้ชม ที่ถือว่าแปลกตาและแอบน่าใจหายมากๆ

ก่อนที่จะไปถึงประเด็นอื่น เรามาชี้แจ้งกันก่อนว่าสถานะทางการเงินของสตาร์ NXT และสัญญาพัฒนาทักษะอื่นๆเป็นอย่างไร

รายได้ของนักมวยปล้ำ NXT ถูกจ่ายเป็นรายเดือน โดยเป็นรายได้รวมกับส่วนแบ่งสินค้า (ถ้ามี) ซึ่งส่วนแบ่งรายได้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องพูดถึงมากนัก เนื่องจากยอดขายของนักมวยปล้ำระดับล่างคงไม่ช่วยให้สถานะทางการเงินดีขี้นมากนัก แน่นอนเรามีคนอย่าง Finn Balor , Tommasso Ciampa , Johnny Gargano ที่มีสัญญามูลค่าสูงกว่าคนอื่น แต่นั่นคือสิทธิ์พิเศษหากเทียบกับนักมวยปล้ำ NXT คนอื่นที่ต้องยอมรับว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นปรับตัว ดังนั้นจึงเป็นดั่งที่นักวิเคราะห์พูดกันว่าเราจะยก NXT เป็นแบรนด์หลักง่ายๆไม่ได้ ตราบใดที่นักมวยปล้ำยังไม่ได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่ากับนักมวยปล้ำของ Raw หรือ SmackDown !

Finn Balor หนึ่งในนักมวยปล้ำ NXT ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อได้ก้าวขึ้นไปเป็น superstar ของ WWE rosters โดยปัจจุบันปี 2020 ได้กลับมาวนเวียนในสมาคม NXT

รายได้ 80,000 ดอลลาร์ต่อปี เป็น ‘รายได้เฉลี่ย’ โดยจากรายงานนักมวยปล้ำสัญญาพัฒนาทักษะ (Development Contract) สัญญาที่มูลค่าต่ำสุดอยู่ที่ปีละ 50,000 ดอลลาร์ (ราว 1,500,000 บาท) ซึ่งแม้จะดูเหมือนเป็นจำนวนที่เยอะ แต่เงินดังกล่าวจะถูกหักและนำไปใช้ในทุกบริบทของชีวิต ทั้งค่าเช่าบ้าน , ค่าน้ำมัน (นักมวยปล้ำทุกคนต้องขับรถไปสถานที่ปล้ำเอง) , ค่าอาหาร ฯลฯ ดังนั้นมันจึงไม่ง่ายเลยกับการใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกาด้วยข้อจำกัดเหล่านี้

แน่นอนว่ามีนักมวยปล้ำที่ใช้ชีวิตกับสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะพูดกันตามตรงก็คือแม้ WWE จะดำเนินธุรกิจโดยการ ‘มอบความฝัน’ ที่นักมวยปล้ำแทบทุกคนต้องการ แต่หากเรายอมรับความลำบากในช่วงแรกได้ โอกาสที่จะร่ำรวยเป็นเศรษฐีก็สามารถเกิดขึ้นได้ในอนาคตแน่นอน ซึ่งหากเราลองมองวงการมวยปล้ำอิสระในอดีต แม้แต่คนอย่าง Kevin Owens , Seth Rollins , Daniel Bryan ฯลฯ ก็ล้วนผ่านการขึ้นปล้ำต่อหน้าคนหลักสิบและรับเงินไม่กี่ดอลลาร์มาแล้วทั้งนั้น เหตุนี้สำหรับพวกเขาเส้นทางของ WWE จึงคุ้มค่ากว่าการอยู่ในสมาคมอิสระอยู่ดี ทว่าการทำธุรกิจโดยกดราคาไว้ก่อนก็ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องอยู่ดี แต่มันก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งว่าในเชิงธุรกิจนั้นรากฐานของ WWE ถูกวางไว้แน่นมากแล้ว เรามั่นใจว่ามีเด็กที่เกิดมาและฝันจะเป็นแชมป์โลก WWE มากกว่าสมาคมอื่น มันคงเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลัง แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันไปตามกาลเวลา

ตัวอย่าง lists ของนักมวยปล้ำที่ประสบความสำเร็จเมื่อได้ขยับขึ้นไป WWE ซึ่งแฟนๆอย่างพวกเราก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะประสบความสำเร็จในอาชีพที่ใฝ่ฝันไว้

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ หากมันพอมีความหวังอยู่บ้าง การอดทนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าเป็นสิ่งที่ใครๆก็ทนได้ อย่างไรก็ตามมีนักมวยปล้ำที่ถูกเอาความฝันมาล่อ และเซ็นสัญญาขั้นต่ำเข้ามาด้วยเหตุผลทางธุรกิจเท่านั้น หากเป็นกรณีนี้พวกเขาจะไม่มีวันเติบโตได้เลย แถมบางคนอาจมีรายได้ในประเทศบ้านเกิดมากกว่าการทำงานกับ WWE ด้วยซ้ำ ดังนั้นเราพูดได้ว่าเม็ดเงินของ WWE ไม่ใช่สิ่งที่จะเลี้ยงดูคุณได้แบบเบ็ดเสร็จ มีนักมวยปล้ำอีกมากมายที่ต้องเอาตัวรอดให้ได้จากการเซ็นสัญญาตามความฝันดังกล่าว

EC3 อดีตแชมป์สมาคม IMPACT ได้มีโอกาสมาเข้าร่วม NXT โดยแพ้เกือบทุกแมทช์ พอได้มีโอกาสย้ายขึ้นไป RAW ต้นปี 2019 ก็โดนนักมวยปล้ำระดับเกรด B จัดการไม่เคยชนะใครได้ซักคน ทั้งบนจอ และ House Shows นอกจอ

ดังนั้นนักมวยปล้ำระดับล่างจะเฝ้ารอวันที่ถูกเรียกตัวไปช่วยงานจิปาถะในค่ายหลัก บางทีอาจเป็นการนั่งเฉยๆ เพื่อช่วยแปลภาษาหากลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ หรือแม้แต่การใช้แรงงาน , การยืนประกอบฉาก หรือเป็นเอ็กซ์ตราให้นักมวยปล้ำตัวหลักเล่นงาน เป็นต้น โดยการร่วมงานกับค่ายหลักหนึ่งครั้งอาจทำรายได้ให้คุณมากกว่ารายได้จาก NXT หลายเดือนด้วยซ้ำ

ดังนั้น WrestleMania คือรางวัลของนักมวยปล้ำระดับล่าง พวกเขามีงาน Axxess , มีงานแจกลายเซ็นที่อาจมีแฟนๆจากบ้านเกิดเดินทางมาให้กำลังใจ , พวกเขาสามารถขี้นปล้ำในค่ายอิสระที่เป็นพันธมิตรกับ WWE , มีโครงการ Make A Wish บางอย่างทีไม่ได้ออกอากาศ … นักมวยปล้ำบางคนสร้างงานให้ตนเองได้เกือบสิบงานในช่วงเวลาเพียงสามวัน และทำรายได้มหาศาล พวกเขาต้องการเงินเพื่อใช้ชีวิตให้สบาย และบางคนต้องใช้หนี้จากการควักเงินตัวเองมาล่าฝันในอดีต ดังนั้นพวกเขาไม่สามารถใช้ชีวิตไปวันๆ และภูมิใจกับความฝันอันไร้หวังตลอดไปได้ เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ต้องเลือกชีวิตมากกว่าความฝันอยู่ดี

COVID-19 ได้ทำให้โปรโมเตอร์สมาคมอิสระหลายคนต้องขายบ้านขายรถ , ทำให้ความหวังของนักมวยปล้ำหลายๆคนดับสิ้นตามกันไป ดังนั้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากแบบนี้ สมาคมทั้งหลายไม่ได้แค่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคทางการเงิน แต่เป็นการต่อสู้กับจิตใจและต้องช่วยฟื้นฟูมันไปพร้อมๆกัน ดังนั้นการที่สมาคมยังคงตั้งใจจัด WrestleMania ตามกำหนดเดิม ก็อาจทำให้นักมวยปล้ำหลายคนได้รับโบนัสบางส่วนไปบ้าง แม้จะได้มากมายอย่างในสถานการณ์ปกติ ซึ่งเรามั่นใจว่าเรื่องเงินโบนัสมันเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่งที่เล็กมากๆในการตัดสินใจครั้งนี้ เราจึงอยากให้ทุกคนสนุกกับมวยปล้ำเท่าที่เรายังคงทำได้ เราเห็นมาตลอดว่าหากทุกอย่างปกติ เราสามารถคาดหวังถึงความยิ่งใหญ่ได้แค่ไหน

พวกเขาไม่ได้หักหลังคนดูเลย พวกเขาทำได้แค่นั้น ทุกคนทำงานกันหนักมากจริงๆ และเราเชื่อว่าพวกเขาต้องการกำลังใจ

‘Wrestling is for Everyone’ ต้องไม่เป็นเพียงคำพูดที่สวยหรูอย่างเดียว เราต้องทำให้คนเห็นว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว แฟนๆก็สามารถปลอบประโลมและให้กำลังใจทีมงานกลับไปได้เช่นกัน

เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ เรามั่นใจว่าจะคุ้มค่ากับการรอแน่นอน

ขอขอบคุณบทความดีๆจากเพจ มนุษย์มวยปล้ำ

Share this post

More articles

รู้จัก Krav Maga มวยประชิดระดับโลก

หากคุณมองหาศิลปะการป้องกันตัวที่กําลัง อินเทรนด์ ตอนนี้ในอเมริกา Krav Maga ศิลปะการต่อสู้ประชิดตัว ของหน่วย จู่โจมอิสราเอลกําลังมาแรง ขนาดเคยขึ้นจอ ภาพยนตร์พร้อมกับ...

Big John McCarthy the referee legend

กว่า 20 ปี ที่ Big John McCarthy เป็นกรรมการตัดสินในวงการ MMA โดยเฉพาะ...

feedback is god!

For better contents to you.