MMA ถือกำเนิดขึ้นสู่สายตาแฟนๆสายฮาร์ดคอร์ยุคแรกในปี 1993 ศึก UFC 1 ที่เดิมเป็นการแข่งขันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโปรโมทความเทพของ Brazilian Jiu Jitsu เมื่อต้องต่อสู้กับศิลปะการต่อสู้รูปแบบอื่นๆ

โดยเสน่ห์ของการดูศิลปะการต่อสู้หลายแขนงมาฟาดฟันกันในยุคเริ่มต้นนี้คือ การที่เราไม่อาจบอกได้เลยว่าใครเจ๋งกว่าใคร วิชาการต่อสู้ชนิดไหนใช้ได้จริงในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับการต่อสู้ข้างถนนมากที่สุดนั้น เราได้บทสรุปของ Royce Gracie ตัวแทนหมู่บ้าน Gracie สายพันธ์ุ BJJ มาจัดการนักสู้ได้ทุกแขนงถึงแม้ว่าเขาจะต้องแบกน้ำหนักมากกว่า 10 กิโลกรัมก็ตาม
อย่างไรก็ตามในสมัยปี 93 ซึ่งยังไม่มีกฎระเบียบมาตรฐานในการกำกับวงการ MMA นั้น สมาคมต่างๆก็มีกฎเป็นของตนเอง (แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นยุคปี 90 สมาคม MMA ก็ไม่ได้มีแต่ UFC แต่ยังมีสมาคมอื่นๆ เช่น Pancrase, Shooto, Pride FC กระจายอยู่ทั่วโลกเช่นกัน อีกทั้ง MMA ในสมัยก่อนหน้าปี 93 จะใช้คำว่า Vale Tudo หรือ No Holds Barred (NHB) ซึ่งแปลว่า “ทำได้ทั้งหมด ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์ใดๆ” ซึ่งเป็นการต่อสู้สุดโหดที่แพร่หลายสุดๆจากประเทศบราซิลตั้งแต่ยุค 1920-1980s แล้วถึงค่อยๆทยอยเพิ่มกฎระเบียบมากขึ้นเพื่อให้การต่อสู้มีความเป็นมนุษย์ ลดทอนความร้ายลงนั่นเอง)
จากนักสู้ทั้งหมดในยุคนั้นซึ่งต่างจะเชี่ยวชาญศิลปะของตนเป็นหลัก ก็ถือกำเนิดนักสู้ระดับ “เทพ” ขึ้นมาซึ่งมีไม่กี่คนที่คนดูรุ่นลายครามสามารถบอกได้เลยว่า นักสู้กลุ่มนี้เป็นนักสู้โคตรจะสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งยุคปี 90s ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ Rickson Gracie ปรมาจารย์ BJJ ผู้ซึ่งคว้าชัยชนะ 400 แพ้ 0, Royce Gracie ที่เป็นศาสดาของนักสู้ร่างเล็กแต่ล้มยักษ์ได้ หรือ Mark Coleman นักสู้สาย freestyle wrestling ที่พุ่งเทคดาวน์คู่ต่อสู้ลงไปนอนเป็นว่าเล่น แต่กลับเป็น Frank Shamrock และ Bas Rutten ที่ถูกยกย่องว่าเป็นนักสู้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งยุคต้นปี 90s ที่ผสมผสานศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงมารวมกันอยู่ที่คนๆเดียว เมื่อเทียบกับนักสู้รายอื่นๆ
และบทความนี้ เราจะมาเจาะอัตชีวประวัติของ Bas “El GuaPo- ฉายาสุดหล่อ” Rutten เจ้าของท่าไม้ตายหมัด(และเตะ)ทะลวงตับกัน…
Bas Rutten จากเด็กบ้านนอกสู่แชมป์โลกหลายสถาบัน

ถ้าจะมีใครสักคนที่ชีวิตสมควรถูกนำไปสร้างเป็นหนังแอ็กชั่นบ้าระห่ำสักเรื่อง ชื่อของ “Bas Rutten” คงติดอันดับต้น ๆ แบบไม่ต้องสงสัย นี่คือชายผู้เปลี่ยนชีวิตจากเด็กผอมแห้งที่ป่วยเป็นหอบหืดและโดนเพื่อน ๆ รุมแกล้งในวัยเด็ก กลายมาเป็นนักสู้ระดับตำนานในโลกของ MMA และศิลปะการต่อสู้ในยุค 90 ที่ใคร ๆ ก็ต้องยกนิ้วให้
แต่เส้นทางของ Bas Rutten ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตรงกันข้าม มันเต็มไปด้วยเลือด เหงื่อ น้ำตา และแรงแค้นที่ขับเคลื่อนเขาจนกลายเป็น “The King of Pancrase” และหนึ่งในนักสู้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์ MMA
จากเด็กป่วยโรคหอบหืดและโรคผิวหนังผู้ถูก Bully สู่การ list รายชื่อในหัวเรียงคิวตามเด็ดหัวรายคน

Bas Rutten เกิดในประเทศเนเธอร์แลนด์ ปี 1965 ครอบครัวของเขาอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แถบ Limburg ซึ่งในยุคนั้นเด็กๆ มักใช้กำลังตัดสินทุกอย่าง
ปัญหาเริ่มต้นตั้งแต่ยังเล็ก: Rutten ป่วยเป็นโรคหอบหืดเรื้อรัง ส่งผลให้ร่างกายผอมแห้งแรงน้อย และเป็นโรคผิวหนังซึ่งทำให้ผิวพรรณเขาด่างๆดำ จึงถูกเพื่อน ๆ ล้อเลียนว่าเป็น “เด็กกระดูก” (Boneboy) บางวันถึงขั้นถูกซ้อมในโรงเรียนโดยที่ไม่มีใครช่วย
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเขาได้ดูภาพยนตร์ Bruce Lee เรื่อง Enter the Dragon ครั้งแรกในวัย 12 ปี นั่นคือแรงบันดาลใจที่ปลุกไฟแห่งการต่อสู้ขึ้นในใจเด็กชายผู้นี้ทันที “ผมจะไม่เป็นเหยื่ออีกต่อไป ผมจะกลับมาแก้แค้นพวกมันทุกคน” Rutten กล่าวในภายหลัง
เขาเริ่มฝึกคาราเต้ด้วยความลับ โดยพ่อแม่ยังไม่รู้ เพราะกลัวว่าป่วยหอบหืดจะยิ่งแย่ แต่ความมุ่งมั่นของเขาไม่อาจหยุดยั้งได้ เขาได้ “ลิสต์รายชื่อ” เด็กที่เคยแกล้งเขาทั้งหมดไว้ในหัวทีละคน พร้อมคำสาบานว่าจะเอาคืนให้หมด
เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของ Rutten แข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ เขาก็เริ่มไปเยี่ยมคนที่เคยแกล้งเขารายคน จัดการรายตัว จนบางคนถึงขนาดที่ว่า “Bas กูยอมแล้วอย่าทำกูเลย” แต่ Bas ก็ไม่สนใจจัดดอกใหญ่ทุกคนพร้อมเคลียร์รายชื่อในลิสต์ทิ้งจนหมด ซึ่งแน่นอนมันไม่ใช่แค่ชัยชนะทางร่างกาย แต่มันคือชัยชนะเหนืออดีตที่เคยบอบช้ำของเขาอีกด้วย
จากบอดี้การ์ดคุมผับสู่สมาคม Pancrase

เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น Rutten ต้องทำงานสารพัดเพื่อหาเลี้ยงชีพ หนึ่งในอาชีพหลักคือการเป็นบอดี้การ์ดและคนคุมผับ ซึ่งประสบการณ์ตรงนี้เองที่หล่อหลอม “การต่อสู้ข้างถนน” ให้กับเขาอย่างแท้จริง
มีเหตุการณ์หนึ่งที่กลายเป็นตำนานในวงการคือ วันหนึ่งนักอเมริกันฟุตบอลเมาเหล้ามาก่อเรื่องในบาร์ซึ่งมีสาเหตุเกิดจาก Bas เผลอไปเหยียบเท้าแล้วรีบขอโทษ แต่นักกีฬาร่างยักษ์นี้ไม่ยอมพร้อมท้าให้ไปต่อยกันนอกบาร์ ซึ่งไม่รู้ว่าเพื่อนหรือคนในบาร์ต่างตกใจรีบมาบอกพี่ท่านนี้ว่า “มึงอย่าหาทำเลย ไอ้นี่มันนักมวยตัวจริงนะเว้ย” จนพี่ร่างยักษ์ท่านนี้ก็เปลี่ยนใจบอกไม่เป็นไรเพื่อ Bas เดี๋ยวผมเลี้ยงเหล้าคุณเอง…
หรืออีกเหตุการณ์หนึ่งที่เขาไปต่อยตีกับแก๊งคุมบาร์หลายคนที่สวีเดน ซึ่งเขาที่ควรจะโดนรุมกลับจัดการพวกนั้นซะเกลี้ยง แถม Bas ก็ดันซวยไปติดคุกที่สวีเดนอีกด้วย….
Bas เริ่มแข่ง kickboxing ตอนอายุ 20 โดยมีสถิติชนะ 14 แพ้ 2 โดยเป็นการชนะแบบ KO ทุกไฟท์
ไม่นานหลังจากนั้น Bas ได้รู้จักกับศิลปะการต่อสู้แบบ Shootfighting สมาคม Fighting Network RINGS (เป็นการต่อสู้แบบ Hybrid Wrestling) และต่อมาในปี 1993 ก็เริ่มเข้าสู่เวทีอาชีพในสมาคม Pancrase ที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นแบบของ MMA ยุคแรกสุด
เส้นทาง Pancrase และความพ่ายแพ้ที่พลิกชีวิต

กฎพื้นฐานของ Pancrase ในยุคนั้นมีกติกาที่แปลกใหม่และดิบเถื่อนมากสำหรับวงการต่อสู้ มีทั้งการ striking (โจมตีศีรษะได้แบบใช้สันมือ แต่ห้ามชกหน้าแบบกำหมัดเพื่อความปลอดภัย), submission, takedown และ ground fighting ได้เต็มรูปแบบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Pancrase
ความพ่ายแพ้ครั้งแรก: Masakatsu Funaki ในไฟต์อาชีพแรก ๆ ของ Bas ได้มาเจอกับ Masakatsu Funaki ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Pancrase และเป็นสุดยอดนัก submission และ grappler แห่งยุค Funaki เป็นนักสู้สาย Shoot Wrestling ที่ผสมทั้งมวยปล้ำญี่ปุ่นและ submission อย่างลงตัว ด้วยฝีมือการล็อกและคอนโทรลบนพื้นอย่างเหนือชั้นและประสบการณ์ที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด เขา submit Rutten ด้วยท่า Toe Hold บิดล็อคข้อเท้า ซึ่งตอนนั้น Rutten ยังไม่มีพื้นฐาน submission มากพอจะรับมือเกมนอนระดับปรมาจารย์ได้
Ken Shamrock: คู่ปรับเบอร์หนึ่ง แต่ศึกที่ยิ่งใหญ่กว่ามาในปีถัดไป เมื่อ Rutten เจอกับ Ken Shamrock อีกหนึ่งผู้ก่อตั้ง Pancrase และเป็นปรมาจารย์ submission wrestling ระดับโลก Ken ถือเป็นราชา submission แห่งยุค 90 ในขณะนั้น ด้วยพละกำลังมหาศาลและการล็อก submission สุดโหด เขาคือนักสู้ที่เปิดตัวใน UFC 1 ในปี 1993 พร้อมกับ Royce Gracie และสร้างชื่อทันทีในการแข่งขันแบบไม่มีรุ่นน้ำหนัก ไม่มีเวลา ไม่มีกรรมการหยุดไฟต์ Ken ในตอนนั้นถือว่าเป็น poster boy ของ MMA ยุคแรก
Ken ซับ Rutten ด้วยท่า Rear-Naked Choke ในยกที่ 1 เวลา 16:42 นาที ในปี 94 และภายหลังในปีถัดมา Bas ก็โดน Ken ย้ำแค้นแพ้ submission อีกด้วยท่า Kneebar ในนาทีที่ 1 ของยกแรก ซึ่งกลายเป็นตัวจุดไฟให้นักสู้ดัตช์คนนี้หันไปฝึก submission แบบจริงจังเพื่อปิดจุดอ่อนแพ้ทางด้าน submission และเขาก็ไม่เคยแพ้ใครอีกเลยตั้งแต่ปี 95 จนถึงปี 2006 ที่แขวนนวม
การพ่ายแพ้ต่อ Frank Shamrock อีกหนึ่งความพ่ายแพ้สำคัญคือ Frank Shamrock น้องชายบุญธรรม (อีกหนึ่งนักสู้ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในยุคนั้น) ของ Ken ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นอีกหนึ่งสุดยอดนักสู้ในตำนาน UFC ในรุ่น Middleweight Champion ที่ป้องกันแชมป์ได้หลายครั้ง Frank เป็นนักสู้ยุคใหม่ที่ผสมผสาน striking, submission และ conditioning ได้อย่างสมบูรณ์แบบ Rutten เคยแพ้ submission ให้กับ Frank ในปี 1994
หมัดทะลวงตับ “Liver Shot” ท่าไม้ตายแห่งศตวรรษ
Bas Rutten คือผู้บุกเบิกการใช้ “หมัดทะลวงตับ” หรือ Liver Shot ในวงการ MMA อย่างไม่เคยมีมาก่อน ท่านี้ดูเหมือนง่ายแต่กลับรุนแรงมากจนถึงกับทำให้คู่ต่อสู้เขาลงไปนอนกองมานักต่อนัก เพราะเมื่อ Bas ใช้การโจมตีพุ่งไปที่เงเป้าหมายเหมาะเจาะตรงตำแหน่งตับ ตับจะหยุดทำงานทันทีทำให้นักสู้ทรุดลงเหมือนถูกสั่งปิดสวิตช์และเจ็บปวดจนไม่สามารถลุกขึ้นมาสู้ต่อได้
“หมัดทะลวงตับของผมฝึกจากการเป็นบาร์เทนเดอร์ คุณต้องชกสั้น ๆ หนัก ๆ ให้แม่นยำ” Rutten กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมคู่ต่อสู้จู่ ๆ ถึงทรุดลง จริง ๆ แล้วเขาปวดจนหายใจไม่ออกต่างหาก”
ลีลาการต่อสู้ของ Rutten เป็นส่วนผสมของความดุดัน เทคนิคการโจมตีขั้นสูง และความหนักของแต่ละ strike ที่ซัดไปยังคู่ต่อสู้ เขาเป็นคนแรก ๆ ที่สาธิตว่าศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานไม่ใช่แค่หมัดต่อหมัด แต่ต้องเชี่ยวชาญทุกมิติของการต่อสู้
เกือบได้วัดฝีมือกับ Rickson Gracie

ในยุค 90 หากพูดถึงสุดยอดนักสู้ในตำนานแห่ง submission ต้องมีชื่อของ Rickson Gracie จากตระกูล Gracie เจ้าพ่อ Brazilian Jiu-Jitsu ซึ่งสถิติไร้พ่ายกว่า 400 ไฟท์ทำให้หลายคนมองว่าเขาคือ “The Greatest of All Time”
มีข่าวลือหนาหูว่า Rutten และ Rickson เกือบได้ขึ้นสังเวียนกันในช่วงปลายยุค 90 ซึ่งอาจเป็นไฟท์ที่แฟน ๆ MMA ยุคแรกเฝ้ารอมากที่สุด แต่สุดท้ายดีลนั้นก็ไม่เกิดขึ้นเพราะปัญหาด้านค่าตัวและการเจรจาเรื่องกฎกติกาต่างๆที่ตกลงกันไม่ได้
“ผมเสียดายมาก เพราะมันคงเป็นศึกที่คนทั้งโลกต้องจดจำ” Bas กล่าวในภายหลัง
จาก Pancrase สู่ UFC – สมาคม MMA ของโลก

เมื่อ Rutten ปรับปรุง submission game จนกลายเป็นนักสู้ที่แทบไร้เทียมทานใน Pancrase เขาก็ตัดสินใจข้ามน้ำข้ามทะเลมาสหรัฐอเมริกาในปี 1998 เพื่อเข้าสู่สังเวียน UFC ซึ่งในขณะนั้นเริ่มมีกระแส MMA ในวงกว้างมากขึ้นแล้ว
ไฟต์แรกใน UFC 18 เขาต้องเจอกับ Tsuyoshi Kohsaka (TK) นักสู้ submission ชาวญี่ปุ่นเจ้าของสไตล์สมดุลระหว่าง striking และ ground game ไฟต์นี้เต็มไปด้วยการเทคนิคที่ต่างต้องระวังทั้งคู่เพราะ Kohsaka ในสมัยนั้นก็ถือว่าครบเครื่องระดับหนึ่งทั้งโจมตีและ submission เพียงแต่อาวุธอาจจะยังไม่หนักเท่าไหร่ ส่วน ฺBas ใช้ striking เป็นหลักในการโจมตีทั้งบนและล่างอย่างหนักหน่วงตลอด 14 นาที ของยกแรก และเขาก็ทำได้สำเร็จโดยการต่อย TKO ใส่ TK ชนะเดบิวได้สำเร็จ
หลังจากนั้น Bas ได้สิทธิ์ขึ้นชิงแชมป์ UFC Heavyweight Title กับ Kevin Randleman เจ้าของฉายา “The Monster” อดีตนักมวยปล้ำระดับ NCAA Division I All-American ผู้มีพละกำลังมหาศาลแบบสัตว์ประหลาด Randleman สามารถ takedown Bas ได้ทั้งไฟต์จนดูเหมือนจะชนะขาด แต่ถึงแม้ว่า Bas จะโดนเทคดาวน์เกือบตลอด 20 นาที แต่เขาก็ active มากบนพื้นทั้งจามศอกหมัดระดมใส่หน้า Randleman ไม่หยุด ท้ายสุดกรรมการให้คะแนนกลับกลายเป็น Bas Rutten ได้แชมป์แบบพลิกความคาดหมาย จนเกิดดราม่าถกเถียงในหมู่แฟนมวยว่า “การควบคุมบนพื้นควรสำคัญกว่าการ striking หรือไม่?”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของ Kevin ดี” Rutten ให้สัมภาษณ์ “แต่ถ้าคุณดูดี ๆ ผมทำ damage มากกว่าตลอดไฟท์ เขาควบคุม แต่ผมโจมตีมากกว่า นี่แหละคือศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน”
ชัยชนะไฟต์นั้นทำให้ Rutten กลายเป็น UFC Heavyweight Champion และกลายเป็นคนแรกจากเนเธอร์แลนด์ที่ได้เข็มขัดแชมป์ UFC อย่างเป็นทางการ
จากนักสู้สู่ครู นักพากย์ นักแสดง และไฟต์สุดท้ายในตำนาน

หลังจากแขวนนวมอย่างถาวร Rutten ไม่ได้หายไปจากวงการ เขาผันตัวมาเป็นโค้ชให้กับนักสู้รุ่นใหม่หลายคน ตั้งแต่ Mark Kerr (จากหนังเรื่อง The Smashing Machine นำแสดงโดย The Rock) , Frank Shamrock, และ Kimbo Slice
ในยุควิดีโอเทป Bas คือคนทำวิดีโอสอนศิลปะการต่อสู้ที่โด่งดังอย่าง Bas Rutten’s Lethal Street Fighting ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่แฟน ๆ MMA ยุค 90 หลายคนยังตามหากันถึงวันนี้
นอกจากบทบาทโค้ช Bas ยังโด่งดังอย่างมากในฐานะนักพากษ์ของ Pride FC ลีก MMA ชื่อดังแห่งยุค 2000 ด้วยสไตล์การพากย์ที่ทั้งรู้ลึก สนุก มีอารมณ์ขันผสมความรู้เชิงเทคนิค ทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟน ๆ ทั่วโลก (ที่ฮากว่านั้นคือ Bas เก่งกว่านักสู้ใน Pride FC หลายๆคนอีกด้วยเพียงแต่เขาไม่สามารถสู้ได้เพราะอาการบาดเจ็บเรื้อรัง)
แต่ในปี 2006 Rutten ตัดสินใจกลับมาขึ้นสังเวียนอีกครั้งในวัย 41 ปี เพื่อพิสูจน์ตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายในไฟต์กับ Ruben Villareal (Warpath) ซึ่ง Rutten คว้าชัยชนะด้วย TKO กระหน่ำเตะเจาะยางขาอย่างสวยงามโดยใช้เวลาเพียง 3:24 นาทีของยกแรก
อย่างไรก็ตาม ปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังจากการต่อสู้นับสิบปีโดยเฉพาะบริเวณหัวเข่า หลัง และกล้ามเนื้อสะสมมานานจนถึงขีดสุด ไฟต์นี้จึงกลายเป็นการอำลาสังเวียนอย่างเป็นทางการของเขา
“ร่างกายมันบอกผมเองว่านี่คือจุดจบ ผมไม่เสียใจเลย เพราะผมได้ทุกอย่างที่ต้องการจากวงการนี้แล้ว” Rutten กล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
บทส่งท้าย: ตำนานที่ยังมีลมหายใจ

Bas Rutten ได้รับการเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศ UFC Hall of Fame ในปี 2015 และวันนี้ในวัย 59 ปี กลายเป็น “เจ้าพ่อแห่งวงการ MMA” ที่ได้รับการยอมรับจากทุกค่ายทุกสายว่าเป็นต้นแบบของนักสู้ที่ “สมบูรณ์แบบในทุกมิติ” และเป็นแบบอย่างด้านจิตวิทยานักสู้ที่เปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นพลัง
จากเด็กหอบหืดโรคผิวหนังโดนแกล้ง สู่แชมป์โลก MMA จากคนคุมผับชกคนในบาร์ สู่ครูผู้ปลุกปั้นนักสู้หลายรุ่น จากคนเกือบได้วัดกับ Rickson Gracie สู่เจ้าของตำนานหมัดทะลวงตับแห่งศตวรรษ
และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเด็กชายคนหนึ่งได้ดู Enter the Dragon เมื่อ 40 ปีก่อน และไล่เก็บบูลลี่รายตัวจนกลายเป็นนักสู้สุดแกร่งของโลกในที่สุด
Bas Rutten คือตำนานที่โลก MMA จะไม่มีวันลืม