กว่าจะเป็น KURT ANGLE นักมวยปล้ำที่ดีที่สุดในโลก


‘I won a gold medal with a broken freakin neck’ … ‘ฉันได้เหรียญทองทั้งที่คอหักเลยนะไอ้สัส!’
 
ประโยคข้างต้นกลายเป็นประโยคที่แสดงความสุดยอดของ ‘Kurt Angle’ ตำนานนักมวยปล้ำระดับหอเกียรติยศเจ้าของเหรียญทองกีฬามวยปล้ำสมัครเล่นในการแข่งขันโอลิมปิกปี 1996 ที่แอตแลนต้า สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้ Vince McMahon ประธานของ WWF (ในขณะนั้น) ตัดสินใจทันทีว่าสมาคมจะพลาดตัวนักสู้คนนี้ไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นพวกเขาจึงยื่นข้อเสนอให้กับเคิร์ทแทบจะทันทีและก็ได้รับความสนใจจาก ‘American Hero’ เช่นกัน แต่ก็มีข้อแม้อยู่อันหนึ่งที่สมาคมรับไม่ได้จนทำให้การเซ็นสัญญาล่าช้าออกไป
 
ข้อแม้ดังกล่าวคือการระบุว่า ‘การเซ็นสัญญาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสมาคมกำหนดให้เคิร์ท แองเกิลชนะรวด’ ซึ่งทุกคนคงเข้าใจดีว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยในวงการมวยปล้ำอาชีพที่ทุกอย่างถูกกำหนดเพื่อความสนุกสนานของผู้ชมเป็นสำคัญ
 
‘ผมไม่เคยดูมวยปล้ำเลยครับ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือ Steve Austin ผมเห็น Macho Man อยู่บ้างจากโฆษณา Slim Jim และ Hulk Hogan ในการ์ตูนช่วงเช้าสมัยที่ผมยังเด็กเท่านั้น’
 
เหตุนี้จึงไม่แปลกที่เคิร์ทจะยื่นข้อเสนอที่ ‘เป็นไปไม่ได้’ กับวินซ์ซึ่งทำให้ประตูของเขากลับ WWF เกือบปิดตายไปแล้ว โดยเคิร์ทย้อนความถึงเหตุการณ์หลังจากที่พูดประโยคดังกล่าวไว้ว่า ‘วินซ์ไม่ได้ตอบโต้อะไรผมเลยนะ เขาแค่ยื่นมือมาจับตามมารยาทและเดินจากไป’
 
เป็นที่ชัดเจนว่าแม้วินซ์จะเห็นฝีมือของเคิร์ทเป็นอย่างดี แต่ตัวเลือกของ WWF นั้นมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นสมาคมจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปลงทุนกับคนที่ไม่เข้าใจมวยปล้ำอาชีพแบบเขาเลยแม้แต่น้อย และคนแบบวินซ์ย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในวงการมวยปล้ำสมัครเล่นเรียบร้อยแล้ว ก็คงมีทางเลือกเดียวในสายอาชีพนี้นั่นก็คือการเบนเข็มเข้าสู่วงการมวยปล้ำอาชีพซึ่ง WWF เองก็โดดเด่นไม่แพ้ใคร ซึ่งหมายความว่าหากเคิร์ทเข้าใจมากขึ้นว่าวงการมวยปล้ำ ‘ทำงานอย่างไร’ มันก็ไม่สายหาก WWF จะยื่นข้อเสนออย่างจริงจังให้อีกครั้ง โดยวินซ์เลือกที่จะ ‘นิ่งเงียบ’ และรอให้เคิร์ท ‘เข้าใจโลก’ ด้วยตนเองมากกว่าการดันทุรังยัดเยียดให้โดยไม่เต็มใจ
 
จริงๆแล้วหลังจากที่ WWF เข้าไปด้วย ‘ชั้นเชิงทางธุรกิจ’ แต่สมาคมคู่แข่งในขณะนั้นอย่าง ECW กลับเข้าหาด้วยความ ‘ดิบ’ กล่าวคือ Paul Heyman ประธานของสมาคมสุดโหดได้เชิญเคิร์ทไปชมโชว์และร่วมเป็นผู้บรรยายพิเศษ แต่เคิร์ทก็ต้องช็อคเพราะสิ่งที่เขาเจอก็คือ Raven จับ The Sandman ตรึงกางเขน ซึ่งทำให้เขาช็อคมากจนแทบรับไม่ได้เลยทีเดียว
 
‘มันเหมือนกับนักมวยปล้ำใน ECW พยายามจัดเต็มให้ผมดู แบบว่าเสียสละเต็มที่เพื่อผมอะไรแบบนั้น แต่สิ่งที่ผมเห็นมันไม่ใช่มวยปล้ำเลยสักนิดครับ มันมีทั้งดาบเคนโด้, เก้าอี้, บันได และอีกมากมายเต็มไปหมด ! ผมบอกกับตัวเองเลยว่าไม่โอเคแล้ว ผมไม่อยากอยู่ในที่แบบนี้ ส่วนพอล เฮย์แมน ก็บอกว่าไม่รู้เรื่องจังหวะตรึงกางเขนมาก่อน ซึ่งผมว่าเขาก็คงโกหกนั่นแหละ’
 
เคิร์ทย้อนถึงเหตุการณ์สุดอื้อฉาว ที่แม้จะไม่ประทับใจนัก แต่ก็เป็นการจุดประกายให้ลองหามวยปล้ำสมาคมอื่นมาดูอย่างจริงจัง
 
ความล้มเหลวไม่เป็นท่าของ ECW ทำให้เคิร์ททดลองดูรายการ Monday Night Raw อย่างต่อเนื่องจนเข้าใจว่ามวยปล้ำอาชีพนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลแพ้-ชนะ แต่เป็นการ ‘เล่าเรื่องเรื่อยๆ’ ต่างหาก เหตุนี้เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามครรลองอันเหมาะสมดั่งที่วินซ์ แม็คแมนคาดเอาไว้แล้ว เคิร์ทก็มาร่วมคัดตัวกับ WWF อย่างเป็นทางการอีกครั้งและได้เซ็นสัญญาหลังจากเข้าฝึกเพียง 3 วันเท่านั้น !
 
ไอเดียของวินซ์ แม็คแมนไม่จบเพียงแค่นี้ เขามองว่าหากเป็นในยุค ‘80 ที่ผู้คนหลงใหลอยู่กับ ‘ฮีโร่’ คาแรกเตอร์ ‘ขวัญใจคนอเมริกัน’ ของเคิร์ทต้องประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย หรือแม้แต่ในยุค ‘90 เอง คำว่า ‘มหาชน’ จากฉายาของ The Rock ก็ช่วยผลักดันให้เขาก้าวไปสู่จุดสูงสุดของวงการอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับครั้งนี้ วินซ์มีไอเดียที่แตกต่างออกไป และเป็นภาพสะท้อนของคำว่า ‘อัจฉริยะ’ ที่เคิร์ทเองก็ยอมรับ เพราะมันเป็นไอเดียที่เขาไม่เห็นด้วยเลยสักนิด แต่ท้ายสุดวินซ์ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันเป็นแนวคิดที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
 
สิ่งที่วินซ์ต้องการคือให้ ‘อเมริกันฮีโร่’ รับบทเป็นคนเลว !?
 
‘แต่ผมได้เหรียญทองโอลิมปิกทั้งที่คอหักเลยนะ’… เคิร์ทพยายามต่อต้าน เพราะเพียงเหตุผลดังกล่าวก็น่าจะเพียงพอให้ผู้ชมสงสาร เห็นใจจนกลายเป็นฝ่ายธรรมะเต็มขั้นแบบไม่ยากเย็นนัก แต่วินซ์กลับมองว่าในยุค WWF Attitude ที่สมาคมเน้นความ ‘แปลกใหม่สุดโต่ง’ นั้น สตาร์ที่โดดเด่นเป็นตัวแทนแห่งยุคสมัยคือ ‘Stone Cold’ Steve Austin ที่มีภาพลักษณ์นักเลง ชอบชูนิ้วกลาง ดื่มเบียร์ ตลอดจนการกระทืบหัวหน้าตัวเองอย่างหยาบคาย นั่นหมายความว่ากระแส ‘ต่อต้านวีรบุรุษ’ (Anti-Hero) กำลังมาแรงจนทำให้เกิดภาวะ ‘ดีคือเลว เลวคือดี’ ซึ่งหมายความว่าคนที่ดูเป็นฮีโร่จะเริ่มถูกสงสัยโดยปริยาย และยิ่งเคิร์ทมาพร้อมกับการอ้างถึงชัยชนะของตนในขณะที่คอหักอยู่ตลอดเวลา มันก็ทำให้คนรู้สึกว่ามันเป็นการ ‘ทวงบุญคุณ’ เสียจนผู้ไม่ชมไม่ต้องสดุดีก็ได้
 
 
ดังนั้นเคิร์ท แองเกิลจึงเป็นคนที่ดูกวนประสาทด้วยบทบาท และตลกเฮฮาด้วยลักษณะนิสัย เสริมไปด้วยฝีมือที่คนทั่วโลกเข้าใจว่า ‘เก่งที่สุดโดยไม่มีข้อแม้’ ซึ่งทำให้พอเขาจะรับบทจริงจังแบบ ‘The Wrestling Machine’ ก็ทำให้คนเชื่อตามทันทีโดยไม่ต้องไปสนว่าบทจะดีเลวขนาดไหน เพราะพวกเขาสามารถเฝ้ารอถึง ‘สุดยอดแมตช์’ ได้เสมอ นั่นหมายความว่าในขณะที่เคิร์ทในช่วงแรกอยากนำเสนอ ‘ความเก่งของตน’ ให้แฟนมวยปล้ำอาชีพรับรู้ ท้ายสุดแล้วเขาก็สามารถทำตามเป้าหมายนั้นได้สำเร็จด้วยการนำเสนอแบบมวยปล้ำอาชีพจนพูดได้เต็มปากว่าเขาคือนักมวยปล้ำที่ ‘ครบเครื่อง’ ที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
 
อนึ่ง WCW เคยพยายามเซ็นสัญญากับเขาเช่นกัน แต่เป็นทาง ‘Nature Boy’ Ric Flair ที่บอกกับเคิร์ทตรงๆให้มองข้าม WCW ไป ทั้งที่หากเคิร์ทปรากฏตัวในศึก Nitro จริงๆ ก็น่าจะช่วยเสริมพลังให้สมาคมต้นสังกัดของแฟลร์ไม่น้อย โดยเขาให้เหตุผลง่ายๆว่า ‘WWF และวินซ์จะรู้วิธีใช้งานนายมากกว่า’ ซึ่งก็เป็นอย่างที่ตำนานแชมป์โลก 16 สมัยกล่าวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
 
ขอขอบคุณบทความจาก FB มนุษย์มวยปล้ำ

Share this post

More articles

ยูเอฟซี คืออะไร? มาทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กัน

“UFC” จุดกำเนิดของ “MMA” วันนี้อยากชวนทุกคนมาพูดคุยกันถึงเรื่อง “ยูเอฟซี” เพื่อป้องกันการสับสนปนเปไปกับ “เอ็มเอ็มเอ” ครับ หลายคนพอพูดมาถึงตรงนี้ก็ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่า UFC...

ที่มาของหนังศิลปะการต่อสู้ในตำนาน “Blood Sport”

Blood Sport เป็นหนังศิลปะการต่อสู้แบบผสมไร้กฏระเบียบที่ออกมาฉายในโรงหนังเมื่อปี 1988 นั้นถือว่าเป็นหนังในตำนานของเหล่าสาวกกีฬา MMA ที่เกิดมาควรต้องได้ดูซักครั้งในชีวิตแน่นอน Blood Sport เป็นหนังยุคแรกๆ...

feedback is god!

For better contents to you.