John Cena: จากนักมวยปล้ำเกือบตกงานสู่ตำนานที่โลกต้องจดจำ


“Never give up.” – John Cena

มีไม่กี่คนในโลกที่ประโยค “ไม่เคยยอมแพ้” สามารถสะท้อนชีวิตได้ชัดเจนเท่ากับของชายชาวอเมริกันร่างกำยำคนหนึ่งนาม… John Cena ซึ่งชีวิตเริ่มต้นจากคนธรรมดาๆคนหนึ่งที่ไม่มีใครรู้จัก จดจำ และเห็นคุณค่า จนมาถึงวันที่เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของสมาคมมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลกอย่าง WWE ผู้คว้าแชมป์โลกกว่า 17 สมัย และยังโดดเด่นในฮอลลีวูดราวกับเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์อย่างแท้จริง

แต่กว่าที่เขาจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันเต็มไปด้วยการโดนปฏิเสธ ความท้อแท้ผิดหวัง และแม้กระทั่งเกือบหลุดจากการไม่โดนต่อสัญญากับ WWE เนื่องจาก character น่าเบื่อไม่น่าสนใจ และเกือบจะหลุดจากวงการไปตลอดกาล… ถ้าไม่ใช่เพราะ “การแร็ปบนรถบัส” เปลี่ยนชีวิตในวันนั้น

John Cena คือใคร? จากแชมป์โลก WWE สู่ดาราฮอลลีวูด

John Felix Anthony Cena Jr. หรือที่คนทั่วโลกรู้จักกันในชื่อ “John Cena” คือหนึ่งในนักมวยปล้ำที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ WWE และยังเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับแถวหน้าของวงการภาพยนตร์ในปัจจุบัน

เขาคว้าแชมป์ WWE/World Heavyweight Championship ไปทั้งหมด 17 สมัย (เทียบเท่า Ric Flair ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาล) และยังเป็นแชมป์ United States, แชมป์แท็กทีม และแชมป์ Money in the Bank รวมถึงแชมป์ Royal Rumble หลายครั้ง

แต่ชื่อของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ในสังเวียน WWE เพราะหลังจากที่ค่อยๆ ผันตัวออกจากการปล้ำ เขาก็โดดเด่นบนจอเงินตามรุ่นพี่ที่ประสบความสำเร็จอย่าง The Rock ด้วยภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง:

  • Trainwreck (2015) – บทตลกที่ทำให้หลายคนอึ้งในความสามารถด้านคอมเมดี้

  • Blockers (2018) – บทคุณพ่อหวงลูกสาวที่ฮาจนขึ้นหิ้ง

  • Bumblebee (2018) – บททหารหัวแข็งในจักรวาล Transformers

  • F9 (2021) – เป็น Jakob พี่ชายของ Dominic Toretto ในแฟรนไชส์ Fast & Furious

  • The Suicide Squad (2021) และซีรีส์ Peacemaker (2022) – กับบทฮีโร่หัวร้อนแต่มีเสน่ห์จนแฟนๆ ต่างกันหลงรัก

จากนักมวยปล้ำกล้ามโต เขากลายเป็นขวัญใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ และเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า “พัฒนาอย่างไม่หยุด”

จุดเริ่มต้นของฮีโร่ในชีวิตจริง: เส้นทางที่ไม่ได้ง่ายเลย

ย้อนกลับไปก่อนชื่อของ Cena จะกลายเป็นชื่อที่สะเทือนทั่ววงการมวยปล้ำและฮอลีวูด เขาเป็นเพียงนักเพาะกายธรรมดาๆ จาก West Newbury รัฐ Massachusetts ที่ย้ายไป California เพื่อทำตามฝันในการเป็นนักมวยปล้ำ เขาเข้าเรียนที่ Ultimate Pro Wrestling (UPW) และได้รับ Ring Name หรือชื่อในวงการตอนเดบิวว่า “The Prototype” – เครื่องจักรต้นแบบ บ่งบอกถึง Cena ที่ยังอยู่ในร่างพัฒนาทดลอง ก่อนที่ภายหลังจะระเบิดความโด่งดังและใช้ชื่อตัวเองตอนเข้า WWE

ปี 2002 คือจุดเปลี่ยนสำคัญ เขาถูกเรียกตัวขึ้นมาบนสังเวียน WWE ครั้งแรก เจอกับ Kurt Angle นักปล้ำเหรียญทองโอลิมปิกที่อยู่ระหว่างการขยับขึ้นมาเป็นตัวหลักเพื่อแบกสมาคม WWE หลังจากที่นักมวยปล้ำระดับเทพเริ่มทยอยออกไม่ว่าจะเป็น Super Star ที่ดังที่สุดอย่าง Stone Cold และ The Rock

โดย Kurt ถือว่าเป็นนักมวยปล้ำระดับเทพร่างทองสุดแข็งแกร่งก็เปิด War กลางเวทีมวยปล้ำพร้อมท้าทายนักมวยปล้ำทุกคนใน Locker room ว่ามีใครใจกล้าพอที่จะมาสู้กับเขาบ้างในคืนนี้

ซึ่ง John ได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการเดบิวต์ในแมทช์นี้ เขาเดินออกมาประจันหน้า ทำให้ Kurt เกิดความงงงวยว่าไอ้นี่เป็นใครและถาม Cena ว่า “เอ็งเป็นใครว่ะ และมีธุระอะไรตรงนี้?” Cena ใส่ inner ตัวสั่นหน้าสั่นตอบกลับว่า “Ruthless Aggression! – การรุกรานแบบไร้ความปราณี!” ก่อนจะตบหน้า Kurt ไป 1 ดอกเต็มๆ (WWE เริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ Ruthless Aggression ผลัดใบต่อจากยุค Attitude Era ที่ Main Superstar คือ Stone Cold และ The Rock เลิกปล้ำ full-time นั่นเอง)

ถึงแม้เขาแพ้แมตช์นั้นด้วยการโดนรวบกดนับสาม แต่ก็ชนะใจแฟนๆ เพราะเขาแพ้แบบสู้ได้อย่างสูสี รวมถึงบ่งบอกภาพของ “นักสู้” ที่ไม่เกรงกลัวใคร นั่นคือ John Cena เวอร์ชั่นแรก – เด็กใหม่ไฟแรง กล้าท้าชนทุกคน…. แต่ก็ยังขาดตัวตนที่ชัดเจน

เกือบหมดอนาคต เพราะ Character “อันสุดจะน่าเบื่อ” จนกระทั่งมาเจอพรสวรรค์ในการแร็ป

หลังจากเดบิวต์ขั้นเทพ Cena กลับต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ความนิยมดิ่งเหว เพราะเขาดูเหมือนจะกลายเป็นแค่ “นักมวยปล้ำธรรมดาๆ คนหนึ่ง” ที่ไม่ได้โดดเด่นมากพอ การแต่งตัวที่น่าเบื่อ การปล้ำที่น่าเบื่อ หน้าตาธรรมดาๆ ไม่มีอะไรให้จดจำ จน WWE เริ่มหมดความสนใจในตัวเขา และมีข่าวว่าเขาอาจถูกปลดในไม่ช้า

แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป… บนรถบัสของนักมวยปล้ำ…

มีอยู่วันหนึ่งในช่วงทัวร์ยุโรป เขาซึ่งนั่งหน้า เห็นนักมวยปล้ำวัยเก๋าหลายคนแร็ปกันอย่างเมามันส์ Cena ก็สนใจและคิดว่าเขาก็ทำได้เหมือนกันนะเฟ้ย เลยเดินไปท้ายรถและเริ่มแร็ปสดๆสร้างความฮาและสนุกสนานกันทั้งคัน ในความโชคดีของเขาคือ Stephanie McMahon ลูกสาว Vince McMahon ซึ่งนั่งหน้ารถก็ได้ยินเช่นกันและชื่นชอบในความสามารถนั้น เธอถาม Cena ว่าต้องเตรียมตัวอะไรไหมกว่าจะแร็ปได้ ซึ่ง Cena บอกมันเป็นเรื่องปกติที่ Rapper จะคิดด้นสดตามธรรมชาติแต่ออกมาได้แบบคล้องจอง ติดหู เนื้อหากวนประสาทได้ทันที Stephanie จึงให้เขาลองใช้ gimmick แร็ปเปอร์ ปรับลุคใหม่และให้เริ่มใช้ทดลองช่วงก่อนปล้ำไปเลย

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “Doctor of Thuganomics” ที่พกไมโครโฟนแทนหมัด พูดจาโผงผาง กวนส้นเท้า และปั่นคู่ต่อสู้ด้วยคำพูดแสบๆ จนแฟนๆ เทใจให้ในเวลาไม่นาน

เขากลับมาเฉิดฉาย ด้วยสไตล์แร็ปพร้อมชุดบาสเกตบอล โซ่ทอง และหมวกกลับหลัง กลายเป็นไอคอนคนใหม่ในยุคทองของ WWE และทำให้คำว่า “You Can’t See Me” กลายเป็นวลีติดปากคนทั่วโลก ล้อเลียนว่าไม่มีใครมองเห็น Cena ได้จนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว

ซูเปอร์สตาร์ผู้สร้างปรากฎการความโกลาหลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนใน WWE: คนดูเสียงแตกแบ่งแยกฝ่าย

เมื่อ John Cena ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของ WWE ความนิยมของเขาไม่ได้เป็นแค่ “สูง” แต่กลายเป็น “สุดโต่ง” — ในระดับที่ไม่เคยมีนักมวยปล้ำคนใดในประวัติศาสตร์ของ WWE เคยสัมผัสมาก่อน

เขากลายเป็นขวัญใจของเด็กๆ ทั่วโลก ด้วยภาพลักษณ์ฮีโร่สุดเท่ เสื้อผ้าสีสดใส วลีปลุกใจอย่าง “Never Give Up” และท่าทางติดหูติดตาอย่าง “You Can’t See Me” ที่ทั้งโรงเรียนอนุบาลยันประถมต่างก็เลียนแบบกันทั่วบ้านทั่วเมือง

แต่ในอีกด้านหนึ่ง… กลับมีผู้ชมวัยรุ่นและผู้ใหญ่จำนวนมหาศาลที่เติบโตมากับวัฒนธรรมมวยปล้ำที่สานต่อตามขนบธรรมเนียมคือ เชียร์คนดี สาปแช่งคนเลว (ยกเว้น Stone Cold ที่เคยเปลี่ยนปรากฎการณ์ตัวโกงแต่คนชื่นชอบ) มองว่า John Cena คือ “นักมวยปล้ำปลอม” ที่ไม่มีความสมจริงในสังเวียน บ้างก็บอกว่าเขา “เป็นสูตรสำเร็จของการตลาด” และมีท่าปล้ำซ้ำเดิมไร้ความตื่นเต้น บางคนถึงขั้นเรียกเขาว่า “Super Cena” ด้วยน้ำเสียงประชด เพราะรู้ว่าต่อให้ถูกอัดแค่ไหน สุดท้ายก็กลับมาชนะได้สไตล์พระเอกช่อง 3 เหมือนเดิม (แต่อีกนัยนึงก็คือ เชียร์ไม่ลงเพราะบทมันเด๊กกกกเด็กมาก เชียร์แล้วไม่ cool หรืออาจโดนเพื่อนล้อได้ อะไรประมาณนั้น)

เสียงในสนามจึงเกิด paradox เสียงเชียร์ชื่นชมผสมเสียงด่าส้นตีน …..

  • เวลาที่เพลงเปิดตัวของเขาดังขึ้น เสียงกรี๊ดจากเด็กๆ และครอบครัวดังสนั่นลั่นสเตเดียม

  • แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงโห่ของแฟนผู้ใหญ่ผสมตีกันไปมาจน Cena เองก็งงว่ากูจะเครียดหรือจะยิ้มรับดี…

เกิดเป็นวัฒนธรรมการเชียร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวงการ WWE

แฟนเด็ก… เชียร์
แฟนผู้ใหญ่… โห่ขับไล่

และ WWE เองก็ไม่ได้ปิดกั้นสิ่งนี้เลย ตรงกันข้าม พวกเขากลับใช้ประโยชน์จากมัน เพราะไม่ว่าจะเชียร์หรือจะด่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้ Engagement จากแฟนมวยปล้ำซึ่งนั่นสำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่ Cena ยุคก่อนโด่งดังไม่เคยได้รับ…. ทำให้ Cena กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ “มีทั้งคนเกลียดและคนรักชมกันอยู่ทั่วโลก”

เขากลายเป็นกระจกสะท้อนสังคมที่ว่า “ฮีโร่ของใคร อาจไม่ใช่ฮีโร่ของอีกคน” และในที่สุด… ก็กลายเป็นตำนานที่ไม่ว่าคุณจะเชียร์หรือโห่ ทุกคนก็ “รู้จัก” และ “พูดถึง” เขาเป็นกระแสวงกว้างระดับโลก แม้แต่คนไม่ดูมวยปล้ำยังรู้จักเขา

โค้งสุดท้ายของอาชีพ: การกลับมาสุดช็อคคว้าแชมป์จาก Cody Rhodes ในศึก WrestleMania 41 ปี 2025 

แม้จะมีชื่อเสียงในฮอลลีวูด แต่หัวใจของ Cena ยังคงอยู่ใน WWE

หลังจากหายไปจากวงการเกือบปี เขากลับมาอีกครั้งในปี 2024 และสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับทั้งวงการ เมื่อเขาเข้าสู่สังเวียนเพื่อท้าชิง Undisputed WWE Championship กับ Cody Rhodes – หนึ่งในนักปล้ำที่คืนชีพดั่งนกฟีนิกซ์แชมป์โลกคนล่าสุด

มันไม่ใช่แค่การต่อสู้ของรุ่นเก๋ากับรุ่นใหม่ แต่มันคือการพิสูจน์ตัวเองครั้งสุดท้ายของชายคนหนึ่งที่โลกเคยบอกว่า “หมดไฟแล้ว” ด้วยสภาพร่างกายที่อยู่ในช่วงใกล้อายุ 50 เข้าไปทุกที กล้ามเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเริ่มบาง และที่สำคัญติดเล่นหนังและ Series อีกต่างหาก ทำให้มีข่าวอยู่เนืองๆว่าเขาใกล้จะแขวนรองเท้ามวยปล้ำในเวลาอันใกล้ และศึก WrestleMania ครั้งนี้คงเป็นแค่การมาปล้ำครั้งเดียว แพ้ และจากไปแบบเงียบๆ 

แต่แล้วความดราม่าที่ WWE ค่อนข้างจะเก่งมากนั้นก็เกิดขึ้น… สมาคมวางบทให้ Cena ชนะคว้าแชมป์เฉยเลย.. แถมยังเปลี่ยนเป็นฝ่ายอธรรมที่ตลอดชีวิตการปล้ำใน WWE กว่า 25 ปี เขาไม่เคยเป็นแม้แต่ครั้งเดียวและเป็นการคว้าชัยชนะแบบขี้โกง ด้วยการเตะผ่าหมาก Cody Rhodes และไม่ได้จบด้วยท่าไม้ตาย Attitude Adjustment แต่กลับปิดบัญชีด้วยการเอาเข็มขัดแชมป์โลกฟาดเข้าไปที่หัว… คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 17 ท่ามกลางเสียงเชียร์ (แทนที่จะเป็นเสียงโห่) ของคนทั้งสนาม…

แฟนๆในปัจจุบันนั้นรู้จักธุรกิจมวยปล้ำกันเป็นอย่างดี ว่า Kayfabe หรือบทบาทเป็นเพียงแค่ Character ของนักมวยปล้ำตามบทเท่านั้น ถึงภายนอกการมีส่วนร่วมของคนดูคือการโห่คนเลวหรือฝ่ายอธรรมนั้น แต่ลึกๆแล้วทั้งแฟนเก่าและแฟนใหม่ ต่างก็ดีใจที่นักมวยปล้ำฮีโร่ของเขาในอดีตที่เขาติดตามมาตั้งแต่เด็กจนโตนั้น ก็ยังคงมีเวลาเหลืออยู่บ้างเพื่อปล้ำให้กับแฟนๆเขาดู โดย Cena เองก็ประกาศออกมาแล้วว่า WrestleMania ปี 2026 จะเป็นแมทช์สุดท้ายของเขา

บทสรุปของคำว่า “Never give up” ในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่ Cena รักที่สุดนั้น ก็ไม่ใช่แค่คำพูด แต่มันคือชีวิตจิตใจที่หล่อเลี้ยงตัวตนของเขาจนมาเป็น John Cena ในวันนี้นั่นเอง

 


Share this post

More articles

THE STORY OF “SUPER SAMOAN” MARK HUNT

ขอเล่าเรื่องตัวละครของพี่ฮันท์ Mark Hunt “การเดินทางของซุปเปอร์ชาวซามัว” ➡  click ที่ลิงค์นี้สำหรับบทความเรื่อง Mark Hunt กับหนังสืออัตชีวประวัติ “Born to...

Jeff Novitzky

ยมทูตแห่ง UFC นาม Jeff Novitzky: ฝันร้ายของเหล่านักสู้ทำผิดกฏ

นักสู้ใน UFC มีอันสะเทือนเมื่อได้ยินชื่อ “Jeff Novitzky” เมื่อนโยบายอันเข้มงวดล่าสุดของสมาคม กับการตรวจหาสารกระตุ้น ซึ่งผู้กระทำผิดครั้งแรกมีบทลงโทษโดนแบนไม่ให้สู้สูงสุดถึง 4 ปี มีผลตั้งแต่ 1...

feedback is god!

For better contents to you.