MMA History เรื่องราวประวัติศาสตร์ MMA ตั้งแต่ยุคกรีซดั้งเดิม
ในช่วงกรีซแต่เดิมนั้น ได้เริ่มมีการแข่งขันเกมส์โอลิมปิคที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ ที่รู้จักกันชื่อ “Pankration” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างทักษะการจับทุ่ม และ การโจมตี ซึ่งก็คล้ายกับ MMA ในปัจจุบัน ซึ่งต่อมาก็ถูกใช้เป็นเกมส์กีฬาของยุคโรมันอีกด้วย
การต่อสู้แบบไม่มีกฏ No-holds-barred เริ่มขึ้นเมื่อปี 1880 เมื่อนักมวยปล้ำสาย Greco-Roman และอื่นๆมาเจอกันแบบทัวนาเมนท์ทั่วประเทศในยุโรป โดยในอเมริกา การเจอกันที่เป็นแมทช์น่าจดจำนั้น เกิดขึ้นระหว่างนักมวยสากล vs นักมวยปล้ำ ในปี 1887 เมื่อ John L. Sullivan แชมป์มวยสากลรุ่นยักษ์ เดินเข้าไปในเวทีเจอกับเทรนเนอร์เขาเองนาม William Muldoon แชมป์มวยปล้ำสาย Greco-Roman และ Sullivan ก็โดนสแลมลงพื้นใน 2 นาทีแรกทันที
ปลายปี 1890 Bob Fitzsimmons (ซึ่งต่อมาเป็นแชมป์มวยสากลรุ่นยักษ์) เจอกับแชมป์ Greco-Roman จากยุโรป Ernest Roeber และปี 1901 Frank “Paddy” Slavin ได้น็อคเอาท์นักมวยปล้ำ (ซึ่งต่อมาก็เป็นแชมป์มวยปล้ำโลก) อย่าง Frank Gotch ในแคนนาดา
ในช่วงต้นปี 1900 ประเทศญี่ปุ่นมีการแข่งขันชื่อ “Merikan” ซึ่งเป็น slang เพื้ยนมาจากคำว่าอเมริกา โดยมีการต่อสู้มีทั้งการทุ่ม และ knockdowns รวมไปถึง KO และ Submission
ปี 1963 “Judo” Gene Lebell (คนที่เป็นอาจาร์ยของแชมป์หญิง UFC Ronda Rousey และเคยเป็นอาจารย์ทั้งบรูซ ลี, ชัค นอรีส และ Roddy Piper ตำนาน WWF) เจอกับนักมวยสากล Milo Savage แบบไร้กฏ ซึ่ง Gene Lebell ชนะด้วยท่าทุ่ม Harai Goshi และตามด้วย rear naked choke ทำให้ Savage หมดสติไปตรงนั้น ในขณะที่คนดู ณ ตอนนั้นไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และโห่คำตัดสินกรรมการในขณะที่ Savage ก็ยังนอนนิ่งตรงนั้น
ช่วงระหว่างปี 1960-1970 ทัศนคติในการรวมส่วนประกอบของศิลปะป้องกันตัวมารวมอยู่ในคนๆเดียวนั้นเกิดจาก Bruce Lee ที่ก่อตั้งปรัชญาและศิลปะป้องกันตัว Jeet Kune Do ขึ้นมา ลีเชื่อว่านักสู้ที่เก่งที่สุดต้องไม่ใช่แค่เป็นนักมวย คาราเต้ หรือยูโด แต่ต้องเป็นคนที่ปรับตัวได้ในทุกสถานการณ์ ปรับสไตล์ของตัวเองขึ้นมาใหม่มากกว่าตามกฏระเบียบของทักษะนั้นๆ อย่างเดียว เขาเคยบอกว่าสไตล์ที่สมบูรณ์แบบคือการไม่มีสไตล์ ใช้แต่ละท่าของศิลปะป้องกันตัวแต่ละอย่าง และปรับเข้ากับตัวเอง ส่วนที่เหลือทิ้งไปให้หมด
Muhammad Ali vs. Antonio Inoki เจอกันในญี่ปุ่นเมื่อปี 1976 ซึ่งทั้งคู่ต่างไม่เข้าไปในโซนอันตรายกันละกัน ทำให้ 15 ยกนั้นจบด้วยการเสมอกัน
Vale tudo ในที่สุดก็เกิดขึ้นในปี 1920 และโด่งดังมากในประเทศบราซิล (Vale tudo ซึ่งแปลว่า “Everything goes – ทำอะไรก็ได้หมด” เป็นศึกการต่อสู้แบบไม่มีกฏ ซึ่งจริงๆ ก็ยังพอมีกฏเกณฑ์อยู่บ้าง แต่น้อยมาก เป็นยุคก่อนจะเกิดคำศัพท์ MMA หรือ Mixed Martial Arts) และก็กลายเป็นการเล่าขานของการท้าทายสไตล์ “Gracie challenge” โดย Carlos Gracie และ Hélio Gracie (จะมีการเขียนเรื่องราวเกื่ยวกับ Helio Gracie และ Gracie jiu-jitsu ภายหลัง)
ส่วนในประเทศญี่ปุ่นตอนช่วงปี 1970 Antonio Inoki ตำนานนักมวยปล้ำญี่ปุ่นนั้นก็โด่งดังมาก ซึ่งเขาเรียนทักษะมาจาก Rikidōzan, และ Karl Gotch “เทพเจ้าแห่งการต่อสู้” ที่สอนมวยปล้ำสไตล์ catch wrestling โดยภายหลัง Inoki ก็เป็นนักมวยปล้ำรุ่นแรกๆที่มีการ cross over ไปสู้กับนักสู้ศิลปะการต่อสู้แขนงอื่น โดยแมทช์ที่โด่งดังนั่นคือ Inoki vs Muhammad Ali (กดที่ลิงค์เพื่ออ่านบทความ “กฏกติการะหว่างคู่ Inoki vs Ali จากแมทช์ปลอมสู่แมทช์จริง”) นั่นเอง